7 ประวัติ อื่นๆ นราธิวาส

tour-history-miscelleneous-domestic
ประวัติ อื่นๆ จังหวัดนราธิวาส

tour-history-miscelleneous-narathiwat
ตราประจำจังหวัด

ดอกไม้ประจำจังหวัด
ดอกบานบุรีเหลือง (Odontadenia macrantha)

ต้นไม้ประจำจังหวัด
ตะเคียนชันตาแมว (Neobalanocarpus heimii)

คำขวัญประจำจังหวัด
ทักษิณราชตำหนัก ชนรักศาสนา นราทัศน์เพลินตา ปาโจตรึงใจ แหล่งใหญ่แร่ทอง ลองกองหอมหวาน

จังหวัดนราธิวาส มีพื้นที่ทั้งหมด 4,475.43 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของแหลมมลายู ทิศเหนือจดจังหวัดปัตตานีและอ่าวไทย ทิศตะวันตกจดจังหวัดยะลา ทิศตะวันออกจดอ่าวไทยและประเทศมาเลเซีย และทิศใต้จดรัฐกลันตันของประเทศมาเลเซีย สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นป่าและภูเขาประมาณ 2/3 ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ราบส่วนใหญ่อยู่ติดกับบริเวณอ่าวไทยซึ่งเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ 4 สาย คือ แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำบางนรา แม่น้ำตากใบ และแม่น้ำสุไหงโกลก

ประวัติความเป็นมา
นราธิวาสเดิมชื่อ "มะนาลอ" เป็นหมู่บ้านขึ้นอยู่กับเมืองสายบุรี  ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโอนไปขึ้นอยู่กับเมืองระแงะ ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในการปกครอง ๗ หัวเมืองในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๓) ซึ่งแบ่งเขตการปกครองบริเวณชายแดนภาคใต้ออกเป็น  ๗  หัวเมือง คือ เมืองปัตตานี เมืองหนองจิก เมืองยะลา เมืองรามัน เมืองระแงะ เมืองสายบุรี  และเมืองยะหริ่ง  โดยมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง
ในปี พ.ศ.๒๔๔๔ (ร.ศ.๑๒๐) รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓) ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล และให้ ๗ หัวเมืองอยู่ในความปกครองของเทศาภิบาล 

เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๙ (ร.ศ.๑๒๕) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบหัวเมืองทั้ง ๗ เหลือแค่เพียง ๔ หัวเมือง  และให้ขึ้นอยู่กับมณฑลปัตตานี  คือ
1 เมืองปัตตานี  ประกอบด้วย  หนองจิก  ยะหริ่ง  และปัตตานี 
2 เมืองยะลา  ประกอบด้วย รามัน  และยะลา
3 เมืองสายบุรี
4 เมืองระแงะ

สำหรับหัวเมืองประเทศราช ๔ เมือง ได้แก่ กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี(เคดาห์) และ เปอร์ลิส  อังกฤษเข้ายึดครองในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (ค.ศ. ๑๙๐๙)
ต่อมา หมู่บ้านมะนาลอมีความเจริญและเป็นชุมชนหนาแน่นมากกว่าเมืองระแงะ  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๒๔๖๘) ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมราษฎรภาคใต้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ ทรงมีพระราชดำริให้ย้ายศาลาว่าการเมืองระแงะมาตั้งอยู่บ้านมะนาลอ  และได้พระราชทานชื่อเมืองว่า "เมืองนราธิวาส"   คำว่า "นราธิวาส" หมายถึง   "ที่อยู่ของคนดี" ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ได้มีรับสั่งให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกทัพหลวงมาปักษ์ใต้ เพื่อปราบปรามข้าศึกที่ยกเข้ามารุกรานพระราชอาณาเขตทางใต้

เมื่อปราบปรามข้าศึกได้ราบคาบแล้วจึงได้เสด็จไปประทับ ณ เมืองสงขลาแล้วมีรับสั่งไปยังหัวเมืองมลายูทั้งหลาย ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นกับกรุงศรีอยุธยามาแต่ก่อนให้มาอ่อนน้อมเหมือนเดิม พระยาไทรบุรีและพระยาตรังกานู ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี แต่พระยาปัตตานีได้แข็งเมืองไม่ยอมมาอ่อนน้อม พระองค์จึงรับสั่งให้ยกกองทัพลงไปตีเมืองปัตตานีเมื่อปี พ.ศ.๒๓๓๒ เมื่อได้เมืองปัตตานีแล้วทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสงขลา (บุญฮุย) อัญเชิญตราตั้งให้พระยาจะนะ (ขวัญช้าย) เป็นพระยาปัตตานี และให้อยู่ในความกำกับดูแลของเมืองสงขลา

เมื่อพระยาปัตตานี (ขวัญช้าย) ถึงแก่กรรม ได้โปรดเกล้าฯ ให้นายพ่ายน้องชายพระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) เป็นพระยาปัตตานี และแต่งตั้งให้นายยิ้มซ้าย บุตรพระยาปัตตานี (ขวัญซ้าย) เป็นหลวงสวัสดิภักดี ผู้ช่วยราชการเมืองปัตตานี และได้ย้ายที่ว่าการเมืองปัตตานีจากบ้านมะนา (อ่าวนาเกลือ)ไปตั้งที่บ้านยานู
ในระหว่างนั้นพวกซาเหยดรัตนาวงศ์ และพวกโมเซฟได้คบคิดกันเข้าปล้นบ้านพระยาปัตตานี (พ่าย) และบ้านหลวงสวัสดิศักดิ์ (ยิ้มซ้าย) แต่ถูกตีถอยหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ตำบลบ้านกะลาพอ เขตเมืองสายบุรี

เนื่องจากเมืองปัตตานีมีอาณาเขตกว้างขวาง มีโจรผู้ร้ายปล้นบ้านเรือนราษฎรชุกชุม พระยาปัตตานี(พ่าย) จึงได้แจ้งข้อราชการไปยังเมืองสงขลา พระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋อง) ได้ออกมาปราบปรามและจัดแบ่งเมืองปัตตานีออกเป็นเจ็ดหัวเมือง เมื่อปี พ.ศ.๒๓๕๕ แล้วทูลเกล้า ฯ ถวายรายชื่อเมือง
ที่แยกออกไปดังนี้คือ เมืองปัตตานี เมืองหนองจิก เมืองยะลา เมืองรามัน เมืองระแงะ เมืองสายบุรีและเมืองยะหริ่ง

ต่อมาได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาอภัยสงครามกับพระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋อง) เป็นผู้เชิญตราตั้ง ออกไปพระราชทานแก่เจ้าเมืองทั้งเจ็ดหัวเมือง ดังนี้

ให้ตวนสุหลง เป็น  พระยาปัตตานี
ให้ตวนหนิ เป็น  พระยาหนองจิก
ให้ตวนยะลอ เป็น  พระยายะลา
ให้ตวนหม่าโซ่ เป็น  พระยาสายบุรี
ให้นายพ่าย เป็น  พระยะหริ่ง

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาปัตตานี (ตวนสุหรง)พระยาหนองจิก (ตวนกะจิ) พระยายะลา (ตวนบางกอก)  และพระยาระแงะ (หนิแงะ) ได้สมคบกันเป็นกบฎ โดยได้รวบรวมกำลังพลออกตีบ้านพระยายะหริ่ง (พ่าย) แล้วเลยออกไปตีเมืองเทพาและเมืองจะนะ พระยาสงขลา (เถี้ยนแส้ง) ทราบเรื่องจึงได้มีใบบอกไปยังกรุงเทพ ฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระพระยาเพชรบุรีเป็นแม่ทัพออกไปสมทบช่วยเมืองสงขลาออกทำการปราบปรามตั้งแต่เมืองจะนะ เมืองเทพา ไปถึงเมืองระแงะ แต่พระยาระแงะ (หนิเดะ) หนีรอดไปได้

ในระหว่างที่ทำการรบกันอยู่นั้น หนิบอสู ชาวบ้านบางปูซึ่งพระยายะหริ่งแต่งตั้งให้เป็น
กรมการเมืองยะหริ่งได้เป็นกำลังสำคัญ จึงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาราชการเมืองระแงะ และได้ย้ายที่ว่าราชการเมืองระแงะจากบ้านระแงะ ริมพรมแดนติดต่อกับเมืองกลันตันมาตั้ง ณ ตำบลบ้านตันหยงมัส (อำเภอระแงะปัจจุบัน)

ต่อมาเมื่อพระยาระแงะ (หนิบอสู) ถึงแก่กรรมก็ได้โปรดเกล้าฯให้ พระยาคีรีรัตนพิศาล (ตวนโหมะ) บุตรพระยาระแงะ (หนิบอสู) ว่าราชการเมืองระแงะแทน มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาภูผาภักดิ์ศรี สุวรรณประเทศวิเศษวังษา พ.ศ.๒๔๓๒  พระยาระแงะ (ตวนโหมะ) ถึงแก่กรรม  พระยาสุนทรานุรักษ์ (ชม) ผู้ช่วยราชการผู้รักษาว่าราชการเมืองสงขลาจัดให้ตวนเหงาะ บุตรตวนสุหลง ผู้เป็นพี่ต่างมารดาของพระยาระแงะ (ตวนโหนะ) เป็นผู้รักษาราชการเมือง
ระแงะ


พ.ศ.๒๔๓๔  เมื่อถึงกำหนดที่บริเวณ ๗ หัวเมือง ต้องนำต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าแผ่นดิน ณ กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเจ้าเมืองทั้ง ๗ เมือง ได้ถวายความจงรักภักดีด้วยความพร้อมเพรียงกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรปูนบำเหน็จ ความดีความชอบให้ และได้ใช้สืบต่อกันมา จนกระทั่งยุบเลิกการปกครองบริเวณ ๗ หัวเมือง

ต่อมาได้โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศกฎข้อบังคับสำหรับปกครองบริเวณเจ็ดหัวเมือง ร.ศ.๑๒๐เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๔ ให้ยกเลิกการปกครองแบบเก่าเสีย ให้หัวเมืองทั้งเจ็ดเมืองคงเป็นเมืองอยู่ตามเดิม และให้พระยาเมืองเป็นผู้รักษาราชการบ้านเมืองต่างพระเนตรพระกรรณ มีกองบัญชาการเมืองโดยมีพระยาเมืองเป็นหัวหน้า ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมือง และผู้ช่วยราชการเมืองรวมสี่คน ให้มีกรมการชั้นรอง เสมียนพนักงานตามสมควร โดยมีข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณเจ็ดหัวเมืองคนหนึ่ง สำหรับตรวจตราแนะนำราชการทั้งปวงทั่งบริเวณทั้งเจ็ดหัวเมือง ต่างพระเนตรพระกรรณในราชการ
ทุก ๆ เมือง ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณยังทำหน้าที่จัดการในบริเวณให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับ และปฎิบัติราชการตามท้องตรากรุงเทพ ฯ และคำสั่งของข้าหลวงเทศาภิบาล มณฑลนครศรีธรรมราช

พระยาเมืองที่รับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยดี ก็ได้รับพระราชทานผลประโยชน์
ให้พอเลี้ยงชีพและรักษาบรรดาศักดิ์ตามสมควรแก่ตำแหน่ง และพระราชทานเงินผลประโยชน์ที่เก็บได้ซึ่งหักค่าใช้จ่ายแล้วนั้น ไว้เป็นเงินสำหรับจัดการทำนุบำรุงบ้านเมืองเป็นปี ๆ พระยาเมืองและ
ศรีตวันกรมการซึ่งเป็นคนในพื้นบ้านเมือง  ถ้าได้รับราชการด้วยดีตลอดชั่วเวลารับราชการ เมื่อต้องออกจากหน้าที่โดยชรา หรือโดยทุพพลภาพประการใดก็ดี จะได้รับพระราชทานเบี้ยเลี้ยงบำนาญต่อไป

เรื่องการศาล  จัดให้มีศาลเป็นสามชั้น คือศาลบริเวณ ศาลเมือง และศาลแขวง มีผู้พิพากษาสำหรับศาลเหล่านั้นพิจารณาคดีตามพระราชกำหนดกฎหมาย เว้นแต่คดีแพ่งที่กี่ยวกับครอบครัวและมรดก ซึ่งอิสลามิกชนเป็นโจทก์และจำเลย หรือเป็นจำเลยให้ใช้กฎหมายอิสลาม แทนบทบัญญัติกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เว้นแต่บทบัญญัติว่าด้วยอายุความมรดก ยังคงต้องใช้กฎหมายแพ่ง และพาณิชย์บังคับ

การใช้กฎหมายอิสลามในการพิจารณาอรรถคดีดังกล่าวตามข้อบังคับสำหรับการปกครองบริเวณ ๗ หัวเมือง ร.ศ.๑๒๐ เรียกตุลาการตำแหน่งนี้ว่า โต๊ะกาลี  ต่อมาได้มีข้อกำหนดไว้ในศาลตรากระทรวงยุติธรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๐  เรียกตำแหน่งนี้ว่า ดาโต๊ะยุติธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับตำแหน่งเสนายุติธรรม ในมณฑลพายัพ ดาโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้รู้และเป็นที่นับถือของอิสลามิกชน เป็นผู้พิพากษาตามกฎหมายอิสลาม

ได้มีประกาศพระบรมราชโองการให้จัดตั้งมณฑลปัตตานี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๙ มีสาระสำคัญว่า

"แต่ก่อนจนมาถึงเวลานี้บริเวณเจ็ดหัวเมือง มีข้าหลวงใหญ่ปกครอง ขึ้นอยู่กับข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ทรงพระราชดำริเห็นว่า ทุกวันนี้การค้าขายในบริเวณเจ็ดหัวเมืองเจริญขึ้นมาก และการไปถึงกรุงเทพ ฯ ก็สะดวกกว่าแต่ก่อนประกอบกับบริเวณเจ็ดหัวเมืองมีท้องที่กว้างขวาง และมีจำนวนผู้คนมากขึ้นสมควรแยกออกเป็นมณฑลหนึ่งต่างหาก ให้สะดวกแก่ราชการที่จะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้แยกบริเวณเจ็ดหัวเมือง ออกมาจากมณฑลนครศรีธรรมราช และให้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง เรียกว่า มณฑลปัตตานี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาศักดิ์เสนีย์ (หนา บุนนาค)  เป็นข้าหลวงเทาศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลปัตตานี"

มณฑลปัตตานี มีเมืองที่มารวมอยู่ ๔ เมือง  คือ เมืองปัตตานี (รวมเมืองหนองจิก ยะหริ่ง และเมืองปัตตานี)  เมืองยะลา (รวมเมือง รามัน และเมืองยะลา) เมืองสายบุรี และเมืองระแงะ

ในปี พ.ศ.๒๔๕๐ได้ย้ายที่ว่าราชการเมืองระแงะ จากตำบลบ้านตันหยงมัส มาตั้งที่บ้าน
มะนาลอ  อำเภอบางนรา และยกฐานะอำเภอบางนราขึ้นเป็นเมืองบางนรา ส่วนเมืองระแงะเดิมนั้นให้เป็นอำเภอและขึ้นอยู่กับเมืองบางนรา มีอำเภอในเขตปกครองคือ อำเภอบางนรา อำเภอตันหยงมัส กิ่งอำเภอยะบะ อำเภอสุไหงปาดี กิ่งอำเภอโต๊ะโม๊ะ อำเภอตากใบ และอำเภอยี่งอ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสมณฑลปักษ์ใต้ เมื่อเสด็จถึงเมืองบางนรา ก็ได้ทรงพระราชทานพระแสงราชศัตราแก่เมืองบางนรา และได้โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองบางนราเป็นเมืองนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๘

พ.ศ.๒๔๗๖  ได้ยุบเลิกมณฑลทั่วราชอาณาจักร
พ.ศ.๒๔๘๑  กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศยกฐานะกิ่งอำเภอโค้วโบ๊ะ เป็นอำเภอแว้ง
พ.ศ.๒๔๘๒  ยกฐานะกิ่งอำเภอยะบะ เป็นอำเภอรือเสาะ
พ.ศ.๒๔๙๑  ยกฐานะตำบลสุไหงโก - ลก ขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ
พ.ศ.๒๔๙๖  ยกฐานะตำบลสุไหงโก – ลก เป็นอำเภอ
พ.ศ.๒๕๑๗  ตั้งกิ่งอำเภอศรีสาคร และยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒
พ.ศ.๒๕๑๐  ตั้งอำเภอสุคิริน
พ.ศ.๒๕๒๕  ตั้งกิ่งอำเภอจะแนะ และยกฐานะเป็นอำเภอ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒
พ.ศ.๒๕๓๖  ตั้งกิ่งอำเภอเจาะไอร้อง และยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙
พ.ศ.๒๔๗๖ ได้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารราชการอาณาจักรสยาม   "เมืองนราธิวาส" ได้รับการจัดตั้งเป็น "จังหวัดนราธิวาส" ถึงปัจจุบัน  มีเจ้าเมืองและผู้ว่า