ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ปราจีนบุรี
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์
อยู่ภายในโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 2.5 กิโลเมตรเป็นตึกที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2452 เพื่อถวายเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวในคราวเสด็จประพาส มณฑลปราจีน มีลักษณะสถาปัตยกรรม เป็นตึกสองชั้น แบบยุโรปสมัยเรอเนสซอง มีมุขด้านหน้า ตรงกลางเป็น โดม ผนังด้านนอกมีลายปูนปั้นลายพฤกษาประดับซุ้มประตูและหน้าต่าง
ภายในจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย เป็นศูนย์รวบรวม อนุรักษ์ ตำรายาไทย สมุนไพรไทย การแพทย์แผนไทย การแพทย์ พื้นบ้านของจังหวัดปราจีนบุรี อีกทั้งยังเป็นแหล่งการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพร และการแพทย์ของท้องถิ่น กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นโรงพยาบาลนำร่องเรื่องการแพทย์ แผนไทย ใช้สมุนไพรบำบัดรักษาโรค มีการนวด อบ ประคบ และฝังเข็ม แปรรูปสมุนไพรไทยเป็นเวชภัณฑ์ และเครื่องสำอางจำหน่ายในราคา ย่อมเยา นอกจากนี้ยังได้จัดโครงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยให้เกิดการเรียนรู้ ใช้เวลา 3 วัน อัตราค่าบริการประมาณ 3,500 บาท/คน(กิจกรรมนี้งดบริการช่วงฤดูฝน) โทร. 0-3721-108
ในปีพุทธศักราช 2452 ท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์)ได้จ้างเหมา บริษัทโฮวาร์ด เออร์สกิน สร้างตึกหลังหนึ่งขึ้นตามแบบศิลปะบาร็อคของตะวันตก โดยมีความประสงค์เพื่อจะใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกรณีที่พระองค์เสด็จมายังมณฑลปราจีนบุรีอีก หลังจากที่เสด็จครั้งแรกในปีพุทธศักราช 2451แต่พระองค์เสด็จสรรคตเสียก่อนในปีพุทธศักราช 2453
หากกระนั้นตึกหลังนี้ก็ยังคงใช้เป็นที่ประทับแรมของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวในปีพุทธศักราช 2455 รวมทั้งพระบรมวงศ์อีกหลายพระองค์ คราเสด็จมณฑลปราจีนบุรี โดยที่ท่านเจ้าของตึกไม่เคยใ้ช้ตึกหลังนี้เป็นที่พำนักส่วนตัวเลยตราบจนสิ้นอายุไข พ.ศ.2465จึงได้มีการตั้งศพของท่านไว้ชั้นบนของตึกนี้ ก่อนการพระราชทานเพลิงศพในปีเดียวกัน
หลังจากการอสัญกรรม ตึกหลังนี้ก็ตกเป็นของตระกูลอภัยวงศ์ โดยพระเจ้าอภัยวรเศรษฐ (ช่วง) บุตรชายที่เกิดจากหม่อมสอิ้ง ซึ่งเป็นบุตรวัยอาวุโสกว่าคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รับพินัยกรรมให้เป็นผู้จัดการมรดก
ต่อมาในปี พ.ศ.2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอภิเษกสมรสกับหลานสาวคนหนึ่งของท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร คือนางสาวติ๋ว อภัยวงศ์ ธิดาของพระอภัยพิทักษ์ ( เลื่อม อภัยวงศ์ ) ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนา เป็นพระนางเจ้าวัทนา พระวรราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาอภัยวรเศรษฐ (ช่วง) พี่ชายของพระอภัยพิทักษ์จึงได้ถวายกรรมสิิทธิ์ ในตึกหลังนี้ตลอดจนที่ดินบริเวณนั้น ให้กับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และพระนางเจ้าฯก็ได้น้อมเกล้าฯถวายตึกและที่ดินผืนนี้แด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
ต่อมาในปี พ.ศ.2480 เมื่อพระองค์จะโดยเสด็จสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ พระราชธิดา ไปประทับที่ประเทศอังกฤษจึงประทานที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดนั้นแก่มณฑลทหารบกที่ 2จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อใช้เป็นสถานพยาบา้ลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในวันที่ 24 มิถุนายน 2484 และได้เปลี่ยนมาเป็นโรงพยา้บาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในวันที่ 24 มิถุนายน 2509 เพื่อรำลึกถึงบุญคุณของท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ผู้สร้างตึกและได้สร้างความเจริญ รวมทั้งสาธารณสมบัติให้กับจังหวัดปราจีนบุรีอย่างมากมาย โดยกราบทูลเชิญเสด็จฯสมเด็จเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีและพระนางเจ้า สุวัทนา พระวรราชเทวี เสด็จฯมาทรงเปิดป้ายโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเดิมนั้นเป็นตึกอำำนวยการ ได้มีการดัดแปลงทำชั้นล่างเป็นห้องตรวจโรค ห้องจำหน่ายยา และห้องผ่าตัดชั้นบนทำหน้าที่รับคนไขัหญิง โดยมีเรือนคนไข้ชายแยกต่างหากมีเตียงรับคนไข้ 50 เตียง มีโรงประกอบอาหาร คนไข้ โรงซักฟอกที่เก็บศพ เรือนพักคนงาน บ้านนายแพทย์ อย่างละ 1 หลัง บ้านพักพยาบาลอีก 3 หลัง การสัญจรติดต่อกับจังหวัด ใช้ทางเรืออย่างเดียวจนใน พ.ศ.2486 ได้มีการสร้างถนนติดต่ิอกับจังหวัด โดยขอที่ดินจากเอกชน คือ ถนนปราจีนอนุสรณ์เป็นถนนหน้าโรงพยาบาลในปัจจุบัน
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้ถูกใช้งานเป็นโรงพยาบาลจนถึงปี2512 หลังจากที่ตึกอำนวยการในปัจจุบันได้ก่อสร้างเสร็จ จากนั้นทางโรงพยาบาลจะใช้ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในการประชุมสัมมนาในบางกรณี
ต่อมากรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นโบราณสถานของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25มกราคม พ.ศ.2533
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรหลังจากนี้มิเพียงจะมีคุณค่าในฐานะที่เป็นอาคารเก่าแก่ ซึ่งมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมแต่เพียงอย่างเดียว หากตึกหลังนี้ยังเป็นเหมือนตัวแทนความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ อดทนและเสียสละของท่านเจ้าของตึก ที่จะเป็นอนุสติให้กับคนรุ่นหลังเป็นความหมายและคุณค่าทางจิตใจ นอกเหนือไปจากความงามทางด้านสถาปัตยกรรม และความงามมีคุณค่าในฐานะที่เป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ
ด้วยในช่วงระยะปีพุทธศักราช 2449 เกิดการผันแปรทางการเมืองระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้ขอเปลี่ยนแผ่นดินเมืองตราดซึ่งอยู่ภายใต้ความครอบครองของมณฑลบูรพาทั้งหมดของไทยรัฐบาลไทยจึงได้ตกลงสัญญา เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2447และแลกเปลี่ยน สัตยาบันระหว่างไทยกับฝรั่งเศล ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่21 มิถุนายน พ.ศ.2450 เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองพระตะบองแห่งกรุงกัมพูชา ได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต อพยพเข้ามารับราชการสนองพระเดชพระคุณในกรุงเทพมหานคร
เนื่องจากท่านตระหนักว่าต้นตระกูลรวมทั้งปู่และบิดา ได้เป็นข้าทูลละอองธุีลี่ีพระบาทมาหลายชั่วคน จึงมิปราถนาที่จะไปเป็นข้ากัมพูชา โดยท่านได้ลั่นวาจาว่่า"เมืื่อพระราชทานเมืองไปเป็นของกรุงกัมพูชาเมื่อใดจะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอพยพเข้ามารับราชการสนองพระเดชพระคุณในกรุงเทพฯ"
เมื่อไทยต้องคืนเมืองพระตะบองแก่กรุงกัมพูชา ท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจึงได้อพยพครอบครัวและผู้ติดตาม เข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยผ่านเมืองปราจีนบุรี ในระยะแรกนั้นท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศรพำนักอยู่ในกรุงเทพมหานคร แต่ด้วยความชอบในการล่าสัตว์โพนช้าง จึงย้ายมาปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีหมู่เรือนใหญ่สิบกว่าหลังของท่านและครอบครัวอยู่ตรงกลาง และหมู่บ้านชาวเขมรที่ติดตามมาจากเมืองพระตะบองอยู่รายรอบ
หากในภายหลังเจ้าพระยาอภัยภูเบศรมีดำริให้สร้างตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรขึ้น โดยหวังว่าจะใช้รับเสด็จสนองพระคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน อย่างไรก็ตามตึกหลังนี้ได้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ.2455รวมถึงเจ้านายพระองค์อื่นๆ อาทิ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพพลเรือนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นต้น
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรนี้เป็นออาคารสถาปัตยกรรมตะวันตกสองชั้นก่ออิฐถือปูน หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องสี่เหลี่ยมลอนเล็กที่สั่งมาจากฝรั่งเศล ตรงกลางหลังคาเป็นโดม ที่ยอดโดมมีเครื่องบอกทิศทางลมทำด้วยโลหะเป็นรูปไก่ขนาดตัวอาคารกว้าง 18.60 เมตร ยาว 38.40 เมตร ภายในตัวอาคารแต่ละชั้นแบ่งออกเป็น 3 ห้อง ด้านหน้าของห้องโถงใหญ่ชั้นบนทำเป็นดาดฟ้า อาคารหลังนี้สร้างตามแบบอาคารเดิมของท่านเมื่ออยู่พระตะบองวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างล้วนนำมาจากต่า่งประเทศทั้งสิ้น ส่วนช่าง สันนิฐานว่ามาจากดินแดนอินโดจีน ลัษณะสถาปัตยกรรมของตึกนี้เป็นการเลียนแบบสถาปัตยกรรมยุคบาร็อค (Baroque)
คำว่าบาร็อค มาจากคำในภาษาโปรตุเกสว่าบาโรโค (Barroco) หมายถึงไข่มุกที่บิดเบี้ยว ไปจากกฏเกณฑ์ของความงามในสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิค ในยุคเรอเนสซองส์โดยสิ้นเชิง ลวดลายปูนปั้นส่วนใหญ่ของตึกหลังนี้เป็นลวดลายขนาดเล็ก อ่อนไหว ตามซุ้มประตู หน้าต่างเสา ขื่อ คาน ล้วนตกแต่งด้วยลวดลายพรรณพฤกษา ที่แสดงออกถึงการเคลื่อนไหว ในลักษณะโค้งงอ (s -curve) หรือม้วน (s -scroll)มีเพียงลายปูนปั้นที่เสาประดับใต้หน้าบันเท่านั้นที่ี่มีสัญลักษณ์ของความเป็นไทย คือ ทำเป็นรูปช้าง นอกเหนือไปจากการตกแต่งลวดลายปูนปั้น ตามตัวอาคารต่างๆ แล้ว ยังตกแต่งเพดานด้วยภาพเขียนสีเปียก (Fresco) เป็นลวดลายพรรณพฤกษาอันอ่อนหวานและวิจิตรดงามยิ่งนักในระหว่งการใช้เป็นโรงพยาบาลคาดว่าคงมีการดัดแปลงซ่อมแซมหลายแห่ง แต่ไม่ได้มีหลักฐานการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเท่าที่ทราบคือ บานหน้าต่างเดิมเป็นบานกรอบไม้ติดกระจกทำลวดลายฝังด้วยกระจกสีเนื้อเป็นลวดลายแจกันและดอกไม้ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นบานเกล็ดไม้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน พื้นกระเบื้อง ชั้นล่างปีกซ้ายเปลี่ยนเป็นพื้นหินขัด




คำยืนยันลูกค้า
คำยืนยัน ในคุณภาพและผลงานการจัดทัวร์จากลูกค้าบางส่วนของ นิววิวทัวร์
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - ทีมบิ้วดิ้ง เขาใหญ่ (ลิฟท์สตาร์) 20 ท่าน Part 1
14592 Views
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - กรุ๊ปคณะคาทอลิก แห่งประเทศไทย แสวงบุญพนมเปญ เสียมเรียบ 34 ท่าน Part2
26474 Views
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - ร้านศรีสุขการเกษตร
24282 Views