7 ประวัติ อื่นๆ ยะลา
สารบัญ
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
| ดอกไม้ประจำจังหวัด | ดอกพิกุล (Mimusops elengi) |
| ต้นไม้ประจำจังหวัด | ศรียะลา (Saraca declinata) |
| คำขวัญประจำจังหวัด | ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน |
ยะลาเดิมเป็นท้องที่หนึ่งของเมืองปัตตานี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้มีการปรับปรุงการปกครองใหม่เป็นการปกครองแบบเทศาภิบาลและได้ออกประกาศข้อบังคับสำหรับปกครอง 7 หัวเมือง รัตนโกสินทรศก 120 ซึ่งประกอบด้วยเมืองปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง สายบุรี ยะลา ระแงะ และรามัน ในแต่ละเมืองจะแบ่งเขตการปกครองเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2447 ประกาศจัดตั้งมณฑลปัตตานีขึ้นดูแลหัวเมืองทั้ง 7 แทนมณฑลนครศรีธรรมราช และยุบเมืองเหลือ 4 เมือง ได้แก่ ปัตตานี ยะลา สายบุรี และระแงะ ต่อมา พ.ศ. 2450 เมืองยะลาแบ่งเขตการปกครองเป็น 2 อำเภอ ได้แก่อำเภอเมืองยะลาและอำเภอยะหา ต่อมา พ.ศ. 2475 ได้มีการยกเลิกมณฑลปัตตานี และในปี พ.ศ. 2476 เมืองยะลาถูกยกเป็นจังหวัดยะลา ตามพระราชบัญญัติราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 เรื่อง การจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาค ออกเป็นจังหวัด เป็นอำเภอ และให้มีข้าหลวงประจำจังหวัด และกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารราชการ
เหตุที่เรียกชื่อว่ายะลานั้นเพราะพระยาเมืองคนแรกได้ตั้งที่ทำการขึ้นที่บ้านยะลา คำว่า ?ยะลา? เป็นชื่อเรียกสำเนียงภาษามลายูพื้นเมือง มาจากคำว่า ?ยาลอ? (???) แปลว่า ?แห? แต่ตามประวัติศาสตร์ซึ่งได้เขียนไว้ในสมัยเจ็ดหัวเมือง โดยเจ้าผู้ครองเมืองเดิมได้เขียนไว้เป็นประวัติศาสตร์เป็นภาษามลายูว่า ?เมืองยะลา? เป็นสำเนียงภาษาอาหรับ โดยชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาอิสลามในบริเวณเจ็ดหัวเมือง ซึ่งอยู่ในแหลมมลายูเป็นผู้ตั้งชื่อเมืองไว้
เมืองยะลาเดิมตั้งอยู่ใกล้ภูเขายาลอ ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองยะลาปัจจุบันไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 กิโลเมตร ต่อมาเมืองยะลาได้ยกฐานะเป็นเมือง ๆ หนึ่งของบริเวณเจ็ดหัวเมือง คำว่าเมืองยะลาหรือยาลอ ยังคงเรียกกันจนถึงปัจจุบันนี้
ประวัติความเป็นมา
อาณาจักรโบราณที่เกี่ยวข้อง ยะลาในอดีตคือส่วนหนึ่งของปัตตานี อาณาจักรโบราณที่เกี่ยวข้องกับเมืองปัตตานี คือ อาณาจักรลังกาสุกะ หรือลังกาซูก ซึ่งถือกันว่า เป็นอาณาจักรที่เก่าแก่ที่สุดบนแหลมมลายู อาณาจักรลังกาสุกะ
พลโทดำเนิน เลขะกุล ได้กล่าวถึงลังกาสุกะไว้ดังนี้ "ในการค้นหาที่ตั้งของอาณาจักร ลังกาสุกะ นายปอล วีตลีย์ ได้ใช้บันทึกของผู้โดยสารเรือผ่านอาณาจักรนี้มากมายหลายเชื้อชาติ แต่ที่มากที่สุด และได้รายละเอียดมากที่สุดได้แก่ ชาวจีน เพราะชาวจีนได้บันทึกมาตั้งแต่ปลาย พุทธศตวรรษที่ 11 จนถึงที่มาต้วนหลิน ได้เขียนไว้ใน พ.ศ. 1443 แม้ว่าบันทึกเหล่านั้นได้เรียก ชื่อแปลก ๆ แต่ต่างกันไปมากมาย ตามเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา แต่ในที่สุดนายปอล วิตลีย์ ได้สรุปลงว่าแคว้นลังกาสุกะ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองกลันตันกับเมืองสงขลา และความเห็นนี้ก็ได้ ยอมรับกันในวงนักประวัติศาสตร์ทั่วไปแล้ว
เรื่องราวของอาณาจักรลังกาสุกะนี้ มีปัญหามาก เริ่มตั้งแต่การตั้งอาณาจักร ศาสตราจารย์ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงอ้างว่า จดหมายเหตุของจีนราชวงศ์เหลียง (พ.ศ. 1045 - 1099) กล่าวว่า อาณาจักรลังกาสุกะ ได้ตั้งมาก่อนหน้านี้แล้วตั้ง 400 ปี ซึ่ง หมายความว่าได้ตั้งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 7 และกล่าวด้วยว่า อาณาจักรนี้มีอาณาเขตจรด ทั้งสองฝั่งทะเล คือ ด้านตะวันออกจดฝั่งอ่าวไทยบริเวณเมืองปัตตานี ด้านตะวันตกจดฝั่งอ่าว เบงกอลเหนือ เมืองไทรบุรี ในประเด็นหลังนั้น ศาสตราจารย์ฮอลล์เห็นด้วย ซ้ำยังกล่าว เพิ่มเติมว่า ก็เพราะอาณาจักรลังกาสุกะ มีอำนาจปกครองคร่อมอยู่ทั้งสองฝั่งทะเลเช่นนี้เอง จึงได้ทำหน้าที่ควบคุมเส้นทางเดินข้ามแหลมมลายู มาแต่โบราณ แต่ศาสตราจารย์ปอล วีตลีย์ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องแหลมมลายูโดยเฉพาะ มีความเห็นแตกต่างออกไป โดยกล่าวว่าจะเชื่อถือ เรื่องราวอันวิปริตจากตำนานไทรบุรี - ฮีกายัตมะโรงมหาวังศาไม่ได้ เพราะเป็นเทพนิยายที่แต่งขึ้น เมื่อชาวอินเดียได้เข้ามาถึง ในพุทธศตวรรษที่ 6 นี้เอง การที่เนื้อความของเทพนิยายนี้ชวนให้ คิดว่า อาณาจักรลังกาสุกะกับแคว้นไทรบุรีตั้งทับกันอยู่ และอาณาจักรลังกาสุกะมีอาณาเขต คร่อมทั้งสองฟากฝั่งทะเลนั้น จึงเชื่อไม่ได้ อาณาจักรลังกาสุกะตั้งอยู่บนฝั่งทะเลตะวันออก เท่านั้น นอกจากนั้นยังอ้างหลักฐานของเลียงซูว่า อาณาจักรลังกาสุกะได้ตั้งเมื่อปลายพุทธศตวรรษ ที่ 7 ทั้งยังกล่าวด้วยว่า ในขณะที่พระเจ้าฟันชิมันแห่งอาณาจักรฟูนันเข้าครองนั้น อาณาจักรนี้ ยังไม่มีชื่อ (อาจมี แต่เรียกอย่างอื่นก็ได้) ชื่อลังกาสุกะ อาณาจักรสำคัญที่เที่ยวแทรกอยู่ตาม บันทึกและหนังสือประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 จนถึงที่ 20 ก็ถูกกลบหายไปจาก แผนที่แหลมมลายู แม้ชื่ออาณาจักรลังกาสุกะจะถูกเลือนลืมไปแล้ว แต่บ้านเมืองและประชาชน ที่เป็นพื้นฐานของอาณาจักรนั้น มิได้ถูกกวาดทิ้งออกไปด้วย ยังคงอยู่เว้นแต่ชื่ออาณาจักรชื่อ เมืองต่าง ๆ เท่านั้นที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
นอกจากนี้ยังได้เขียนถึง เมืองปัตตานี ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาณาจักรลังกาสุกะไว้ดังนี้ "ตามชายฝั่ง แม่น้ำปัตตานี มีร่องรอยว่า เคยมีชุมชนโบราณตั้งเรียงรายกันอยู่หลายแห่ง เฉพาะที่เป็นแหล่ง ใหญ่ และค้นพบเศษโบราณวัตถุ และซากโบราณสถานมาก ๆ แสดงให้เห็นว่า เคยเป็นเมือง มาก่อนมีอยู่ 2 แห่ง คือ บริเวณบ้านเนียง - สนามบิน - วัดคูหาภิมุข (วัดหน้าถ้ำ) - เขากำปั่น ในจังหวัดยะลาแห่งหนึ่ง และบริเวณอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานีอีกแห่งหนึ่ง... บริเวณอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ที่นั่นได้พบที่ตั้ง โบราณสถานอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ตั้งอยู่ห่างกัน 3 - 4 กิโลเมตร คือ ที่บ้านประแว กลุ่มหนึ่ง และที่บ้านวัด อีกกลุ่มหนึ่ง ที่บ้านประแวพบซากเมืองโบราณ ขนาดเล็ก มีกำแพงล้อมชั้นเดียว ชวนให้คิดเห็นว่าก่อนพุทธศตวรรษที่ 18 ขึ้นไปอาจจะเป็น ศาสนสถาน เพราะมีเนินดิน เคยเป็นที่ตั้งอารามมาก่อน และพบเครื่องปั้นดินเผา ธรรมจักร และพระพุทธรูปซึ่งมีลวดลายและรูปทรงแบบศิลปทวารวดีของภาคกลาง (พุทธศตวรรษที่ 12 - 16)มากมาย และยังได้พบเทวรูปพระโพธิสัตว์สัมฤทธิ์แบบศิลปศรีวิชัย ศิวลึงค์ของ ลัทธิฮินดูสมัยต่าง ๆ และใบเสมาสมัยอยุธยาบ้าง ซึ่งนับได้ว่าเป็นพุทธศาสนสถาน ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของภาคใต้ ส่วนบริเวณที่อยู่อาศัยของประชาชน ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณ บ้านวัด และน่าจะเป็นบ้านเมืองมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11 - 12 น่าคิดว่า ชื่อ "บ้านวัด" นั้นเดิมทีคงจะเป็นวัดพุทธศาสนามาก่อน เพราะพบโคกดินสูง ๆ อยู่ทั่วสวนของชาวบ้าน (ถ้าจะมีการขุดค้นกันเป็นทางราชการ จะได้ทราบอะไร ๆ อีกมาก)





คำยืนยันลูกค้า
คำยืนยัน ในคุณภาพและผลงานการจัดทัวร์จากลูกค้าบางส่วนของ นิววิวทัวร์
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - CSR ภูเก็ต (มิตซุย เคมิคอล) 23 ท่าน Part 4
14826 Views
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - CSR ภูเก็ต (มิตซุย เคมิคอล) 23 ท่าน Part 2
15500 Views
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - ทีมบิ้วดิ้ง เกาะช้าง (บัญชีกิจ) 80 ท่าน
15111 Views