รับจัด Outing, Team Building, CSR, Walk Rally, สัมนานอกสถานที่, ดูงาน ในประเทศและโซนเอเชีย
สำหรับบริษัทในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง
084-160-0210 , 02-733-0683

12 ประวัติ อื่นๆ เวียดนาม

สารบัญ

tour-history-miscelleneous-international
ประวัติ อื่นๆ ประเทศเวียดนาม

tour-history-miscelleneous-international-vietnam

เวียดนามมีชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” (The Socialist Republic of Vietnam) เวียดนามตั้งอยู่ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศเก่าแก่ประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย มีพรมแดนติดกับจีน ลาว และกัมพูชา ติดทะเลจีนใต้กับอ่าวไทย เวียดนามมีประชากรทั้งประเทศ 81,624,716 คน (กรกฎาคม ค.ศ.2003) ประกอบด้วยชาวเวียดนาม 90% นอกนั้นเป็นชนชาติอื่น คือ จีน เขมร ไทย จาม และชนกลุ่มน้อยที่เป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ ประชากร 77% อาศัยอยู่ในชนบท ประชาชนในประเทศกว่าครึ่งหนึ่งมีอายุต่ำกว่า 25 ปี ชนกลุ่มน้อยของเวียดนามอาศัยอยู่ตามที่ราบสูงในชนบทประมาณ 10%

เมืองหลวงของเวียดนาม ชื่อ กรุงฮานอย (Hanoi) โดยมีภาษาราชการคือ ภาษาเวียดนาม เนื่องจากเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมานาน ชาวเวียดนามจึงพูดภาษาฝรั่งเศสได้ ส่วนภาอังกฤษนั้น ชาวเวียดนามกำลังตื่นตัวและเริ่มมีการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างกว้างขวาง

เวียดนามเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาชมความงามของภูมิประเทศที่ยังคงงดงามบริสุทธิ์ ด้วยความได้เปรียบทางธรรมชาติที่ตั้งของเวียดนามที่มีพรมแดนประเทศติดต่อกับกัมพูชาและลาว มีเทือกเขาขนาบอยู่ทางทิศตะวันตก ด้านทิศตะวันออกมีชายฝั่งทะเลเป็นแนวยาวติดทะเลจีนใต้ ด้านทิศเหนือกับทิศใต้มีสันดอนแม่น้ำแดงกับสันดอนแม่น้ำโขงเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของประเทศ

ธงชาติเวียดนามพื้นธงเป็นสีแดง มีดาวดวงใหญ่สีเหลืองอยู่ตรงกลาง สัญลักษณ์เวียดนามที่รู้จักกันดีคือ หมวกโนนลา (non – la) หมวกยอดแหลมสานใบลาน กับสาวเวียดนามเอวบางร่างน้อยในชุดประจำชาติ อ๋าวหย่าย (ao dai)

วันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 เป็นวันประกาศอิสรภาพจากฝรั่งเศส และเป็นวันชาติเวียดนาม

อาณาเขต เวียดนามมีพื้นที่ประมาณ 327,500 ตารางกิโลเมตร ความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,650 กิโลเมตร ขนานไปตามแนวยาวของคาบสมุทรอินโดจีน นอกจากนี้ยังมีไหล่เขาและหมู่เกาะต่างๆ อีกนับพันเกาะเรียงรายตั้งแต่อ่าวตังเกี๋ยไปจนถึงอ่าวไทย

ทิศเหนือ ติดกับ ประเทศจีน
ทิศใต้ ติดกับทะเลจีนใต้ทิศตะวันออก ติดกับ อ่าวตังเกี๋ยและทะเลจีนใต้
ทิศตะวันตก ติดกับอ่าวไทย ประเทศกัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลา

เวียดนามเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกเพราะภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในเวียดนามเป็นเวลานานเกือบ 2 ทศวรรษ สงครามลัทธิระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้เป็นสงครามประวัติศาสตร์ที่โลกไม่เคยลืม ในประวัติศาสตร์ของเวียดนามต้องเผชิญกับการทำศึกสงครามมาตลอดเวลา ตั้งแต่ยุคแรกของการตั้งอาณาจักร เวียดนามก็ถูกจีนรุกราน จีนเข้ามายึดครองเวียดนามเป็นเวลานานนับพันปีจนส่งอิทธิพลต่อเวียดนามทั้งในด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ชาวเวียดนามเป็นนักสู้มาตั้งแต่ครั้งอดีต สามารถต่อสู้กับผู้รุกรานจนขับไล่ศัตรูออกไปพ้นดินแดนเวียดนามได้หลายครั้งหลายหนนับตั้งแต่ชาวจีน ชาวมองโกล มาจนถึงสงครามยุคใหม่ของนักล่าอาณานิคมจากยุโรป เวียดนามประเทศเล็กๆ นี้ก็สามารถสู้รบกับนักล่าอาณานิคมชาวฝรั่งเศสและมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาจนกระทั่งได้เอกราชและอธิปไตยกลับคืนมาอย่างน่าภาคภูมิใจ

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ยากจนประเทศหนึ่งในเอเชีย แต่ในรอบสิบปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตขึ้นปีละ 7% เปลี่ยนแปลงไปจากประเทศที่ต้องนำเข้าข้าวเพื่อการบริโภคเพราะบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม ประชาชนมัวแต่ทำศึกไม่มีเวลาปลูกข้าวกิน ในวันนี้เวียดนามกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวมากเป็นอันดับ 3 ของโลก

ในด้านการปกครอง เวียดนามเป็นประเทศสังคมนิยม (Communist State) ที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียว คือพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก เมื่อสิ้นสุดสงครามเวียดนามหรือที่คนเวียดนามเรียกว่า American War การรวมกันของเวียดนามเหนือ กับเวียดนามใต้ เป็นเวียดนามเดียวกันเมื่อปี ค.ศ. 1975 แล้ว จำนวนพลเมืองของเวียดนามก็เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วปี ค.ศ. 1986 เวียดนามประกาศใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่เรียกว่า “โดยเมย – Doi Moi” (ปรับ – เปิด) คือนโยบายเศรษฐกิจเดียวกับ “Glasnost – Perestroika” ของรัสเซีย ทำให้ฐานะเศรษฐกิจของประเทศที่บอบช้ำจากสงครามค่อยๆ กระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ

ลักษณะภูมิอากาศ
เนื่องจากแผ่นดินของเวียดนามมีความยาวมาก ทำให้ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยอาจแบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้

ภาคเหนือ
ภูมิประเทศเวียดนามประกอบด้วยภูเขาสูงมากมาย โดยเฉพาะเทือกเขาฟานสีปัน สูงถึง 3,143 เมตร สูงที่สุดในอินโดจีน มีแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำกุง ซึ่งไหลไปบรรจบกับแม่น้ำแดงเป็นดินดอนสามเหลี่ยมที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกและยังเป็นที่ตั้งของเมืองฮานอยอัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเวียดนาม มีที่ราบลุ่ม Cao Bang และ Vinh Yen ตลอดจนเกาะแก่งกว่า 3,000 เกาะ อ่าวฮาลอง และเนื่องจากพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตอากาศหนาว ซึ่งได้รับอิทธิพลกระแสลมแรงพัดจากขั้วโลก ทำให้มีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น

ภูมิอากาศในเขตภาคเหนือแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู
1.ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-เมษายน) มีฝนตกปรอยๆ และความชื้นสูง อุณหภูมิประมาณ 17 องศา – 23 องศา
2.ฤดูร้อน (พฤษภาคม-สิงหาคม) อากาศร้อนและมีฝน อุณหภูมิประมาณ 30 – 39 องศา เดือนที่ร้อนที่สุดคือเดือนมิถุนายน
3.ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิ 23 – 28 องศา
4.ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อากาศจะหนาวเย็นที่สุดในรอบปี คือ ประมาณ 7 – 20 องศา แต่ในบางครั้งอาจลดลงถึง 0 องศา เดือนที่อากาศหนาวที่สุดคือ มกราคม

ภาคกลาง
ภาคกลางของเวียดนามยังมีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่มากมาย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยหินภูเขาไฟ หาดทราย เนินทราย และทะเลสาบ

ภูมิอากาศในเขตภาคภาคกลาง 2 ฤดู
1.ฤดูฝน (พฤษภาคม-ตุลาคม) เดือนที่อากาศร้อนที่สุดคือ มิถุนายน-กรกฎาคม อุณหภูมิเกือบ 40 องศา
2.ฤดูแล้ง (ตุลาคม-เมษายน) เดือนที่อากาศเย็นที่สุด คือ มกราคม อุณหภูมิเกือบ 20 องศา

ภาคใต้
แม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของเวียตนามเป็นที่ราบสูง แต่ก็มีที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง หรือชื่อที่รู้จักคือ กู๋ลอง (Cuu Long) อันเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม และเป็นที่ตั้งของกรุงโฮจิมินห์ซิตี้ หรือ ไซ่ง่อน ภูมิอากาศค่อนข้างร้อน อุณหภูมิประมาณ 27 องศา
ฤดู มี 2 ฤดู คือ
1.ฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน) เดือนที่ร้อนที่สุดคือ เดือนเมษายน อุณหภูมิประมาณ 39 องศา
2.ฤดูแล้ง (เดือนพฤศจิกายน-เมษายน) เดือนที่อากาศเย็นที่สุดคือ มกราคม อุณหภูมิประมาณ 26 องศา

ประวัติศาสตร์
บริเวณที่เป็นดินแดนของเวียดนามในแถบลุ่มแม่น้ำแดง (Song Hong หรือ Red River) เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่มานานกว่า 5,000 ปีมาแล้ว จนกระทั่ง 258 ปีก่อนคริสตกาล จึงมีการสถาปนาอาณาจักรเวียดนามขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาชาวจีนได้เข้ามารุกรานและผนวกเอาดินแดนสันดอนปากแม่น้ำแดงไปเป็นของจีนเป็นเวลานานเกือบพันปี ภายหลังชาวเวียดนามได้รวมกำลังกันต่อสู้ขับไล่ศัตรูจากทิศเหนือได้สำเร็จ

เวียดนามต้องสู้รบกับจีนซึ่งรุกรานเข้ามายึดเอาเวียดนามเป็นเมืองขึ้นหลายครั้งหลายหน จีนมีกองทัพใหญ่กว่าจึงสามารถเอาชนะเวียดนามได้แทบทุกครั้ง แต่จีนได้ยึดครองเวียดนามเพียงช่วงระยะเวลาไม่นาน เพราะชาวเวียดนามไม่เคยยอมแพ้จีน ขณะที่จีนปกครองเวียดนามอยู่นั้นวีรบุรุษและวีรสตรีชาวเวียดนามได้พยายามซ่องสุมผู้คนและรวบรวมกำลังชาวเวียดนามผู้รักชาติ ต่อสู้ขับไล่จีนออกไปจากแผ่นดินครั้งแล้วครั้งเล่า ในศตวรรษที่ 10 ราชวงศ์ถังของจีนได้ครองเวียดนามอีกครั้งและเปลี่ยนชื่อเวียดนามจาก “นามเวียด” (Nam Viet) มาเป็น “อานนาม”(Annam) เมื่อราชวงศ์ถังของจีนล่มสลาย เวียดนามจึงได้ฉวยโอกาสประกาศอิสรภาพจากการปกครองของจีน โดยมีนายพลโงเกวี่ยน (Ngo Quyen) เป็นผู้นำจีนส่งกองทัพเรือบุกเข้ามาทางปากน้ำแบ็กดัง (Bach Dang River) นายพลโงเกวี่ยนใช้อุบายล่อหลอกกองทัพเรือจีนให้ติดตามเข้าไปในปากแม่น้ำแบ็กดัง จนกองทัพเรือจีนเกยตื้นและเสียหายยับเยิน เพราะติดขวากที่เวียดนามปักรอไว้ที่ปากแม่น้ำเวียดนามจึงได้รับชัยชนะเด็ดขาด ภายหลังนายพลโงเกวี่ยนได้ก่อตั้งราชวงศ์โง (Ngo Dynasty) ขึ้นเป็นราชวงศ์แรก และเปลี่ยนชื่อประเทศใหม่ว่า “ไดเวียด” (Dai Viet – Great Viet)


ศึกมองโกล
ในศตวรรษที่ 12 จักรพรรดิชาวมองโกลกุบไล่ข่าน (Kublai Khan) ได้แผ่ขยายอำนาจเข้าคุกคามจีนจนได้ปกครองจีน กุบไล่ข่านยกกองทัพติดตามทหารจีนที่หนีเข้ามาในเขตเวียดนาม กองทหารของกุลไล่ข่านเข้าโจมตีกองทหารเวียดนามจนยึดเมืองทังลอง เมืองหลวงของเวียดนามในขณะนั้นได้ พวกมองโกลเผาเมืองจนพินาศ แต่ในที่สุดทหารเวียดนามก็ต่อสู้ขับไล่พวกมองโกลออกไปจากอาณาจักรได้สำเร็จ

อีก 30 ปีต่อมา กุบไล่ข่าน จักรพรรดิผู้ไม่เคยแพ้ใครก็ยกทัพใหญ่มาเหยียบเวียดนามอีกครั้ง เพราะต้องการจะครอบครองดินแดนในแถบนี้ทั้งหมด กุบไล่ข่านกับพระโอรสนำกองทหารมองโกล 500,000 คน บุกเวียดนาม ตั้งใจจะเหยียบเวียดนามให้ราบเป็นหน้ากลอง

ชาวเวียดนามยังจำความโหดร้ายของทหารมองโกลได้ดี เมื่อครั้งที่เมืองทังลองถูกเผา จึงหมดกำลังใจที่จะสู้ศึกมองโกล แม่ทัพเวียดนามชื่อ นายพลตรันฮึ่งเดา (Tran Hung Dao) ได้เรียกประชุมขุนศึกเวียดนามแล้วถามว่า “จะสู้ตายหรือจะยอมแพ้” แม่ทัพนายกองกับทหารเวียดนามตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “สู้ตาย” ทหารเวียดนามทั้งกองทัพจึงพากันสักคำขวัญว่า “ฆ่ามองโกลให้หมด” ไว้ที่ต้นแขน แสดงเจตนาแน่วแน่ที่จะสู้กับมองโกลด้วยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน นายพลตรันฮึ่งเดาวางแผนการรบอย่างชาญฉลาด เพราะมีกำลังทหารน้อยกว่ามองโกลมาก จึงสั่งให้ทหารเวียดนามล่อหลอกทหารมองโกลเข้าไปในเมืองร้างหลายแห่ง มองโกลได้ใจคิดว่าได้ชัยชนะ จึงแบ่งกำลังรักษาเมืองทุกเมืองที่เวียดนามที่เวียดนามทิ้งไว้ให้ ต่อจากนั้นกองทัพเวียดนามที่แอบซุ่มคอยทีอยู่ก็ค่อยๆใช้วิธีการรบแบบกองโจรโจมตีพวกมองโกลทีละแห่งจนกระทั่งมองโกลพ่ายแพ้ แต่ในที่สุดกองทัพเวียดนามที่มีกำลังเพียงหยิบมือเดียวก็สามารถขับไล่กองทัพที่มีไพร่พลมหาศาลอย่างมองโกลออกไปจากดินแดนของตนได้

ปี ค.ศ. 1288 มองโกลยกทัพใหญ่ประกอบด้วยไพร่พล 300,000 คน และกองเรือ 500 ลำ บุกเข้ามารุกรานเวียดนามอีกครั้ง นายพลตรังฮึ่งเดาวางแผนรับศึกทางน้ำด้วยการเลียนแบบยุทธวิธีของนายพลโงเกวี่ยน ด้วยการปักขวากยักษ์ที่ทำด้วยเสาไม้ติดปลายเหล็กแหลมจำนวนมากเอาไว้ที่บริเวณปากน้ำแบ็กดังในอ่าวฮาลอง เมื่อน้ำขึ้นทหารเวียดนามล่อให้กองทัพเรือมองโกลติดตามเข้าไปปากน้ำ พอใกล้เวลาน้ำลง กองเรือของเวียดนามส่วนใหญ่ที่ซุ่มคอยทีอยู่ก็ตีตลบกองทัพเรือมองโกลจนต้องถอยร่นไปทางปากน้ำตอนที่น้ำทะเลลดระดับลงมาก กองเรือมองโกลปะทะเข้ากับขวากยักษ์ทำให้เรือแตกเสียหายยับเยินเป็นผลให้ทหารมองโกลของกุบไล่ข่านต้องพ่ายแพ้ทหารเวียดนามอีกเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเวียดนามก็ได้อยู่อย่างสงบ เพราะว่าจีนไม่ได้ส่งกองทัพมารุกรานเวียดนามอีกเลยเป็นเวลานานหลายร้อยปี

เวียดนามมีกษัตริย์ผลัดเปลี่ยนกันปกครองอาณาจักรหลายราชวงศ์ด้วยกัน ในศตวรรษที่ 15 เวียดนามได้ขยายอาณาเขตไปทางใต้จนได้อาณาจักรจามปา (Champa Empire) ซึ่งเป็นอาณาจักรฮินดูเป็นเมืองขึ้น แต่เวียดนามยังยอมให้อาณาจักรจามปามีเจ้าผู้ครองนครปกครองตนเองต่อไป ดังนั้นเวียดนามทางตอนใต้จึงรับเอาวัฒนธรรมของชาวจามและขอมเข้ามาเป็นวัฒนธรรมของตน แต่ในที่สุดอาณาจักรจามปาก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนามในศตวรรษที่ 19

ในปี ค.ศ. 1802 เมืองเว้ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงของประเทศโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียน (Nguyen Dynasty) ยุคนี้สถาปัตยกรรมในเวียดนามเจริญสูงสุด มีการก่อสร้างพระราชวังเว้ สุสานกษัตริย์ และ ศาสนสถานที่สำคัญ ในสมัยก่อนบริเวณพระราชวังเว้เป็นเขตพระราชฐาน หวงห้ามไม่ให้ประชาชนคนธรรมดาเข้าไปข้างใน ถึงแม้ว่าพระราชวังเว้จะถูกระเบิดสมัยสงครามเวียดนามทำลายจนเสียหายไปมาก แต่ก็ยังมีพระราชวังที่สวยงามบางส่วนเหลืออยู่เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของเวียดนามที่ทำเงินเข้าประเทศปีละไม่น้อย ชาวเวียดนามสมัยใหม่ไม่ให้ความสำคัญกับพระราชวังโบราณเก่าแก่แห่งนี้มากเท่ากับอนุสรณ์สถานของโฮจิมินห์ที่กรุงฮานอย ซึ่งชาวเวียดนามเคารพสูงสุด ถึงกับยกย่องให้เป็นบิดาของชาวเวียดนาม

อาณานิคมฝรั่งเศส
ในยุคล่าเมืองขึ้น พวกมิชชันนารีโปรตุเกสเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในเวียดนามก่อนชาติอื่น ต่อมาบาทหลวงชาวฝรั่งเศสจึงตามเข้ามา เวลานั้นฝรั่งเศสหมายตาดินแดนในแหลมอินโดจีนเอาไว้แล้ว ในขณะที่อังกฤษรุกเข้าไปในจีน ฝรั่งเศสก็มองเวียดนามเพื่อจะใช้เป็นทางผ่านที่จะเจาะเข้าจีนทางมณฑลยูนนาน เมื่อมีเหตุการณ์ขัดแย้งเรื่องศาสนาเกิดขึ้นในเวียดนาม และมีบาทหลวงชาวฝรั่งเศสถูกประหารชีวิต ฝรั่งเศสจึงได้ฉวยโอกาสนั้นส่งเรือรบ 2 ลำเข้ามายังเมืองท่าเรือทูเรน (Tourane) ปัจจุบันคือเมืองดานัง (Da Nang) ปี ค.ศ 1858 พระเจ้านะโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศสได้ส่งเรือรบ 14 ลำกับกองทหาร 2,500 นาย เข้าโจมตีดานังและบุกเข้ายึกไซ่ง่อน ฝรั่งเศสได้ครอบครองดินแดนบริเวณสันดอนปากแม่น้ำโขงทั้งหมดภายในเวลา 3 ปี อีก 5 ปีต่อมา ฝรั่งเศสก็ผนวกดินแดนทางใต้ของเวียดนามเป็นของฝรั่งเศส และเรียกอาณานิคมใหม่นี้ว่า “โคชิน – ไชน่า” (Cochin – China)

ฝรั่งเศสรุกคืบเข้าครองเวียดนามทีละน้อยๆจนในที่สุดก็ยึดฮานอย (Hanoi) หัวเมืองสำคัญทางตอนเหนือเป็นของฝรั่งเศสจนได้ ครั้นถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1883 กองเรือรบฝรั่งเศสก็ลอยลำเข้าไปถึงปากแม่น้ำหอมของเมืองเว้ เมืองหลวงของเวียดนามที่ตั้งอยู่ในภาคกลาง ฝรั่งเศสบังคับให้จักรพรรดิองค์ใหม่ยอมรับอิทธิพลของฝรั่งเศสในเวียดนามกลางและเวียดนามเหนือโดยเด็ดขาดและปีค.ศ. 1887 ฝรั่งเศสก็ผนึกเอาโคชิน – ไชน่าเข้ากับกัมพูชาและลาว กลายเป็นดินแดนใต้อาณานิคมของฝรั่งเศสในเอเชีย ภายใต้ชื่อใหม่ว่า “สหภาพอินโดจีน” (Union of Indochina)

เวียดนามภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสมีความเจริญในด้านวัตถุหลายประการ เช่น มีการสร้างถนนหนทางเชื่อมเมืองต่างๆ ในเวียดนาม มีการปรับปรุงด้านการเกษตรและวางรากฐานการศึกษา (ชาวเวียดนามได้ไปศึกษาเล่าเรียนในยุโรป) และการสาธารณสุข (ทำให้เวียดนามปลอดภัยจากโรคระบาดร้ายแรง เช่น อหิวาตกโรค และไข้ทรพิษ) เวียดนามสามารถส่งออกข้าวและสินค้าทางการเกษตรไปขายในตลาดโลกมากมาย แต่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่กลับตกเป็นของฝรั่งเศส ในด้านภาษีอากร ฝรั่งเศสควบคุมการเก็บภาษีทั้งหมดและกระทำกับชาวเวียดนามอย่างรีดนาทาเร้น มีชาวจีนกับชาวเวียดนามเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ค้าขายกับฝรั่งเศสจนร่ำรวย

เวียดนามเจริญขึ้น แต่ในด้านจิตใจชาวเวียดนามกลับย่ำแย่ลง เพราะการปกครองที่เอารัดเอาเปรียบของฝรั่งเศส ทำให้ชาวเวียดนามเกลียดชังฝรั่งเศสและดิ้นรนที่จะต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประเทศตลอดเวลา จึงเกิดนักสู้เพื่อเอกราชเวียดนามเป็นขบวนการต่อเนื่องนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

โฮจิมินห์กับขบวนการกู้ชาติ
จากนั้นได้มีการจัดตั้งกลุ่มชาตินิยม องค์การลับต่างๆ ประกอบด้วยขุนนาม นักวิชาการ และคนหนุ่มสาวของเวียดนาม กลุ่มชาตินิยมมีจุดประสงค์ที่จะปลดแอกเวียดนามจากการเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส การปฎิวัติในรัสเซียมีอิทธิพลต่อนักปฏิวัติหนุ่มเวียดนามคนหนึ่ง ชื่อ โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh) ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส (French Communist Party) ขึ้นในปี ค.ศ. 1920 ที่กรุงปารีส โฮจิมินห์ใช้นามแฝงว่า “เหวียนไอควอค หรือเหวียนผู้รักชาติ” (Nguyen Ai Quoc – Nguyen the Patriot) อีก 3 ปีต่อมา เขาได้เป็นตัวแทนคอมมิวนิสต์สากลเดินทางไปมอสโคว์เพื่อฝึกอบรมการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ โฮจิมินห์มีความศรัทธาในอุดมการณ์มาร์กซิสต์ – สตาลิน อย่างแรงกล้า เมื่อกลับจากรัสเซีย เขาได้รวบรวมนักปฏิวัติหนุ่มสาวชาวเวียดนามก่อตั้ง “สมาคมเยาวชนเวียดนาม (Association of Vietnamese Youth)” ขึ้นเพื่อฝึกอบรมสมาชิกและหาทางดำเนินการปลดปล่อยประเทศให้เป็นอิสระ

โฮจิมินห์เป็นลูกข้าราชการชั้นผู้น้อยในชนบท เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1890 เขาเป็นเวียดนามที่มีเลือดรักชาติรุนแรง ในวัยหนุ่ม โฮมีปัญหากับทางการฝรั่งเศส จึงออกจากเวียดนามไปอยู่ที่ปารีส ตลอดเวลาเขาดำเนินการทุกอย่างเพื่อจุดประสงค์ที่จะปลดปล่อยเวียดนามให้เป็นเอกราช โฮจิมินห์ได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัสเซีย เมื่อขบวนการปลดปล่อยเวียดนามที่รวมกันอย่างหลวมๆ เริ่มแตกแยก โฮจึงรวบรวมพลพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกันขึ้นมาตั้งขบวนการใหม่ที่ฮ่องกง โดยได้ตั้งชื่อกลุ่มเคลื่อนไหวนี้ว่า “พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน” (Indochinese Communist) โดยมีจุดประสงค์แน่วแน่ที่จะทำการปฏิวัติเพื่อปลดปล่อยเวียดนามให้เป็นอิสระจากการปกครองของฝรั่งเศส

สงครามโลกครั้งที่ 2
ปีค.ศ. 1940 กองทัพเยอรมันบุกฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสต้องวางมือจากเวียดนามชั่วคราวไปร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรทำสงครามกับเยอรมัน เป็นจังหวะดีที่โฮจิมินห์รอคอยที่จะหาทางปลดแอกจากฝรั่งเศสมานานแล้ว แต่เมื่อญี่ปุ่นเปิดฉากสงครามในเอเชีย เวียดนามก็ต้องรับกองทัพญี่ปุ่นที่ทะลักเข้ามาในประเทศ ขบวนการกู้ชาติเวียดนามต้องหลบไปซ่องสุมผู้คนอยู่ในพื้นที่แถบภูเขาและเวลานั้นเองที่โฮจิมินห์ได้ร่วมมือกับนายพลโวเหวียนยาพ (Vo Nguyen Giap) และผู้รักชาติคนอื่นๆ จัดตั้งขบวนการ “สันนิบาตเวียดนามเสรี” (League for the Independence of Vietnam) ขึ้น เป็นที่รู้จักกันในชื่อ เวียดมินห์ (Viet Minh) ขบวนการนี้ทำการรณรงค์หากำลังสนับสนุนทั้งจากในและนอกประเทศอย่างหนัก ต่อมาเวียดมินห์ได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธที่มีชื่อว่า “กองทัพปลดปล่อยเวียดนาม” (Vietnamese Liberation Army) โดยโฮจิมินห์ขอความช่วยเหลือจากจีนให้ส่งอาวุธให้ ในขณะเดียวกันโฮจิมินห์ก็เล่นบทสายลับ ทำการสอดแนมและรายงานความเคลื่อนไหวของกองทัพญี่ปุ่นในเอเชียให้สหรัฐอเมริกา โดยแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนด้านอาวุธ แต่สถานการณ์เปลี่ยนไป เมื่อญี่ปุ่นยึดครองเวียดนามทั้งประเทศและจับกุมนายทหารฝรั่งเศสทั้งหมดที่มีอยู่ในเวียดนาม

ครั้งเมื่อญี่ปุ่นออกมาประกาศยอมแพ้ เพราะสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาเป็นการปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 โฮจิมินห์ฉวยโอกาสนี้เรียกระดมพลและบุกเข้ายึกฮานอยและอีก 4 วันต่อจากนั้น ก็ทรงมอบดาบอาญาสิทธิ์ของแผ่นดิน ยกอำนาจในการปกครองประเทศให้โฮจิมินห์ ซึ่งได้ประกาศอิสรภาพให้เวียดนามเป็นอิสระจากฝรั่งเศสในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 และตั้งชื่อประเทศใหม่ว่า “สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม” (Democratic Republic of Vietnam)

ศึกเดียนเบียนฟู
การประกาศอิสรภาพของโฮจิมินห์มีผลเฉพาะในเขตแดนทางเหนือของเวียดนามเท่านั้น ฝรั่งเศสที่ยังมีอิทธิพลอยู่ทางใต้ของเวียดนามและไม่ยอมรับการประกาศอิสรภาพของโฮจิมินห์จึงเกิดสงครามระหว่างขบวนการกู้ชาติเวียดนามกับกองทัพฝรั่งเศสเป็นสงครามยืดเยื้อนานถึง 8 ปี ในที่สุดกองทัพฝรั่งเศสก็พ่ายแพ้ต่อกองทัพเวียดมินห์ในการรบที่ชายแดนลาวใกล้เมืองเดียนเบียนฟู หลังจากการสู้รบกันอย่างนองเลือดเป็นเวลานานถึง 53 วัน ฝรั่งเศสก็ยอมแพ้ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1954 กองทหารฝรั่งเศสถูกขับไล่ออกไปพ้นดินแดนเวียดนาม

แต่สงครามในอินโดจีนยังไม่สงบ เพราะกองกำลังเวียดมินห์ขยายเขตการรุกรานออกไป เพราะต้องการรวมเวียดนามให้เป็นประเทศเดียว จนเกิดการสู้รบกันเองระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ จนกระทั่งนำไปสู่การเจรจาเพื่อหาทางยุติการสู้รบในอินโดจีนที่กรุงเจนีวา ทั้งสองฝ่ายส่งผู้แทนไปเจรจากันที่กรุงเจนีวา และได้ผลการประชุมออกมาเป็น “ข้อตกลงเจนีวา” (Geneva Accords) ซึ่งมีมติให้แบ่งเวียดนามออกเป็น 2 ส่วนตรงเส้นขนานที่ 17 ดินแดนส่วนเหนือเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนามเหนือ) มีโฮจิมินห์เป็นผู้นำ และดินแดนส่วนใต้เป็น สาธารณรัฐเวียดนาม (เวียดนามใต้) มีกษัตริย์เบาได๋เป็นประมุข แต่มีนายกรัฐมนตรีโงดิงห์เหยียม (Ngo Dinh Diem) เป็นผู้นำ

รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเวียดนามเหนือเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จนหลายประเทศในโลกเสรีกลัวภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์จะแพร่ระบาด ขณะเดียวกัน เวียดนามใต้ก็มีสถานการณ์การเมืองที่ไม่มั่นคง ต่อมานายกรัฐมนตรีโงดิงห์เหยียมยึดอำนาจปกครองประเทศจากกษัตริย์เบาได๋แล้วตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดี หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในเวียดนามใต้ คณะนายทหารทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากประธานาธิบดีโงดิงห์เหยียม เป็นผลให้ประธานาธิบดีกับน้องชายถูกสังหาร

กองกำลังของเวียดนามหนือสอดแทรกรุกคืบเข้ามาในเวียดนามใต้อย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาตัดสินใจส่งทหารจำนวนมากเข้าไปช่วยเวียดนามใต้รบกับเวียดนามเหนือกลายเป็นสงครามเวียดนาม (American War) ประมาณว่าระหว่างปีค.ศ. 1970 – 1973 มีทหารอเมริกัน 500,000 คน กับทหารของสัมพันธมิตร 100,000 คน เข้าไปปฏิวัติการรบในเวียดนาม แต่ในที่สุดเวียดนามเหนือของโฮจิมินห์ก็บุกเข้าโจมตีไซ่ง่อน โดยกองกำลังเวียดกง (Viet Cong หรือ Vietnamese Community) ทหารเวียดนามเหนือบุกเข้าไซ่ง่อนและเมืองใหญ่ๆ อีก 64 เมืองพร้อมๆกันในวันเทศกาลเต๊ด (Tet) หรือวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติของเวียดนาม กองทหารเวียดกงสามารถบุกเข้าถึงสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงไซ่ง่อนได้ด้วย เหตุการณ์นี้นั้นทำให้สหรัฐฯ เสียหน้ามาก จนประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสัน ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศ

โฮจิมินห์เสียชีวิตในปีค.ศ. 1969 ก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จใจการรวมเวียดนามทั้งสองเข้าด้วยกัน ขณะที่การสู้รบระหว่างสหรัฐอเมริกากับเวียดกงยืดเยื้อ รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกโจมตี และชาวสหรัฐฯ เดินขบวนต่อต้านการทำสงครามเวียดนาม ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ตัดสินใจยุติการสู้รบและถอนทหารออกจากเวียดนาม หลังจากนั้นไม่นานกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือก็บุกเข้ายึดไซ่ง่อนเป็นผลสำเร็จในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1975 เป็นการยุติการสู้รบเพื่อปลดแอกและรวมชาติที่กระทำมาเป็นเวลานาน ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เป็นของชาวเวียดนามที่มีชัยชนะเหนือจักรวรรดินิยมถึง 2 ชาติ คือ ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา

เวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้รวมกันเป็นเวียดนามเดียวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 หลังจากนั้นเวียดนามก็ได้ใช้ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า “ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” (Socialist Republic of Vietnam)


ข้อมูลทั่วไปประเทศเวียดนาม
เมืองหลวง
คือ ฮานอย ตั้งอยู่ทางภาคเหนือ เป็นเมืองศูนย์กลางด้านการค้าและอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ยังมีเมืองสำคัญต่างๆ ดังนี้
1.โฮจิมินห์ซิตี้ (ไซ่ง่อน) ตั้งอยู่ทางภาคใต้ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางทางการค้าด้วย
2.ไฮฟอง เป็นเมืองท่าอยู่ทางชายฝั่งตอนเหนือใกล้เมืองฮานอย
3.ดานัง เป็นเมืองท่าและเป็นเมืองด้านการท่องเที่ยว ติดทะเลจีนใต้อยู่ทางภาคกลางของเวียตนาม
4.เว้ เป็นเมืองประวัติศาสตร์ใกล้เมืองดานัง

พื้นที่
เวียตนามมีพื้นที่ 327,500 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 81.4 ล้านคน

ศาสนา
เวียดนามไม่มีศาสนาประจำชาติ รัฐธรรมนูญเวียดนามบัญญัติให้ประชาชนมีเสรีในการเลือกนับถือศาสนา ในอดีต เมื่อจีนปกครองเวียดนามได้นำลัทธิขงจื๊อเข้ามาเผยแพร่ กับทั้งลัทธิการบูชาวิญญาณบรรพบุรุษตามธรรมเนียมจี ทำให้ชาวเวียดนามรับเอาประเพณีการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเวียดนาม นอกจากนั้นชาวเวียดนามยังนับถือลิทธิเต๋าและศาสนาพุทธนิกายมหายาน แต่ก็ยังมีชาวเวียดนามอีกจำนวนมากที่เคารพบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อถือแต่ครั้งโบราณกาล

ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ นับถือศาสนาคและที่เหนือนับถือศาสนาอื่นๆ อีก 3 เปอร์เซ็นต์

เวียดนามตอนใต้ได้รับอิทธิพลของขอม จาม และอินเดีย พ่อค้าอินเดียนำศาสนาฮินดูมาเผยแพร่ในเวียดนามตั้งแต่ศตวรรษแรก โดยการเดินทางผ่านไทย อาณาจักรจามปา (ชาวจาม) และเขมรมาถึงเวียดนาม ชาวเวียดนามที่นับถือศาสนาฮินดูบูชาศิวะลึงค์แทนองค์พระศิวะ เป็นสิ่งสักการะสูงสุดของศาสนาฮินดู และต่อมาเมื่อชาวอาหรับเข้ามาแผ่อิทธิพลในอาณาจักรจามปา ชาวจามบางส่วนได้หันไปนับถือศาสนาอิสลาม ชาวจามและเขมรอาศัยอยู่ตามชายแดนเขตติดต่อกับเวียดนามแถวๆ นาตรัง (Nha trang) ทำให้ชาวเวียดนามนับถือศาสนาฮินดูและอิสลามไปด้วย มีชาวเวียดนามส่วนน้อยอยู่ในโฮจิมินห์ ซิตี้และฮานอยที่เป็นมุสลิม แต่การปฏิวัติศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลามของชาวเวียดนามไม่เคร่งครัดเหมือนมุสลิมทั่วไป เช่น มีการทำละหมาดเพียงครั้งเดียวในวันศุกร์ และช่วงเทศกาลถือศีลอดในเดือนรอมฎอน มุสลิมเวียดนามถือศีลอดเพียง 3 วัน ชาวเวียดนามที่เป็นมุสลิมไม่ไปแสวงบุญที่เมกกะ ถึงแม้ว่ามุสลิมเวียดนามจะไม่กินเนื้อหมู แต่ก็ไม่เคร่งครัดเรื่องเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

ศาสนาพุทธเข้ามาสู่เวียดนามทั้งทางบกและทางทะเล ทางบกชาวจีนนำศาสนาพุทธเข้ามาเผยแพร่ในเวียดนาม และพระเถรวาทจากอินเดียนำศาสนาพุทธเข้าทางทะเล ชาวเวียดนามนับถือศาสนาพุทธ (นิกายมหายาน) มานานกว่า 2,000 ปีแล้ว ปัจจุบันมีชาวเวียดนามที่นับถือศาสนาพุทธมากถึง 2 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ ตามหมู่บ้านในเวียดนามทุกแห่งจะมีจั่ว (Chua) หรือเจดีย์เป็นศาสนสถานประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านจะไปสวดมนต์ที่เจดีย์ทุกวันขึ้น 1 ค่ำ และ 15 ค่ำ บูชาพระด้วยผลไม้กับดอกไม้ธูปเทียน พร้อมทั้งสวดมนต์ภาวนา ชาวพุทธเวียดนามปฏิบัติธรรมด้วยการสำรวมจิตให้เป็นสมาธิ การประพฤติดีและเชื่อว่าการทำความดีจะช่วยให้มีชีวิตอยู่ในโลกอย่างเป็นสุขและจะได้เดินทางไปสู่ดินแดนแห่งความสุขอันสมบูรณ์หลังความตาย (นิพพาน)

สำหรับศาสนาคริสต์นั้น มิชชันนารีชาวโปรตุเกสเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาคณะแรกที่มาถึงเวียดนามในศตวรรษที่ 16 ตามด้วยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ซึ่งภายหลังฝรั่งเศสได้เอาข้ออ้างความขัดแย้งทางศาสนามาเป็นสาเหตุเข้ายึดครองเวียดนาม ถึงแม้ว่าศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกจะเข้ามาเผยแพร่ในเวียดนามทีหลังศาสนาอื่น แต่จำนวนคริสต์ศาสนิกชนในเวียดนามก็มีจำนวนมากเป็นที่ 2 ในทวีปเอเชีย รองจากฟิลิปปินส์ ศาสนาคริสต์ในเวียดนามรุ่งเรืองมากที่สุดในยุคที่เวียดนามตกเป็นประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสและข้อขัดแย้งทางศาสนานี้เองที่เป็นสาเหตุสำคัญอีกประการ หนึ่งที่ทำให้ภาวะสงครามขึ้นในเวียดนามสืบเนื่องยาวนานนับสิบปี

การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ทำให้ศาสนาทุกศาสนาในเวียดนามถูกคุกคามทำลายล้าง วัดและเจดีย์ถูกทำลาย บรรดาผู้ที่นับถือลัทธิต่างๆ ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นพวกนอกกฎหมาย พระและฆราวาสที่เกี่ยวข้องกับลัทธิศาสนานั้นๆ จะถูกจับกุมคุมขัง ในยุคที่คอมมิวนิสต์ครองเมืองเป็นยุคตกต่ำของทุกศาสนาในเวียดนาม
นอกจากศาสนาต่างๆ ที่ชาวเวียดนามนับถือกันมานานแล้ว เวียดนามยังมีลัทธิใหม่เกิดขึ้นอีก 2 ลัทธิ คือ ลัทธิกาวได๋และลัทธิฮัวเห่า ซึ่งทั้งสองลัทธินี้แพร่หลายมากในเวียดนาม

ลัทธิกาวได๋ (Cao Dai) คือลัทธิที่นำเอาความศรัทธาของทุกศาสนารวมกัน โดยรวมศูนย์อยู่ที่ “กาวได๋” (แปลว่า สิ่งสูงสุด) ลัทธินี้ก่อตั้งโดยอดีตข้าราชการชื่อ โงวันเจียว (Ngo Van Chieu) ผู้อ้างว่าเป็นร่างทรงสามารถติดต่อรับสารจากเทพเจ้าได้ ลัทธิใหม่นี้ได้รับการยอมรับนับถือมากในขณะนั้น เพราะรัฐบาลฝรั่งเศสที่ปกครองเวียดนามอยู่ให้การสนับสนุน ตามวัดต่างๆ จะมีแท่นบูชาตั้งลูกกลมซึ่งที่ทำมาจากกกระดาษระบายสี และตั้งสัญลักษณ์ของกาวได๋ เป็นดวงตาที่มีรัศมีดวงอาทิตย์ล้อมรอบ โดยมีศาสดาของศาสนาต่างๆ เช่น พระพุทธเจ้า พระเยซู ขงจื๊อ เล่าจื๊อ และเทพเจ้าของฮินดูประดิษฐานอยู่ที่แท่นบูชาบนกระจกทรงกลม การปฏิบัติศาสนกิจจะมีการสวดมนต์หน้าท่านบูชาเทพเจ้าวันละ 4 ครั้ง ในขณะนั้นมีชาวเวียดนามเป็นสมาชิกลัทธินี้มากถึงล้านกว่าคน ต่อมาฝรั่งเศสติดอาวุธให้สมาชิกลัทธิกาวได๋เพื่อให้ต่อต้านพวกเวียดมินห์ ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นกับประธานาธิบดีเวียดนาม สังฆราชกาวได๋ต้องลี้ภัยออกนอกเวียดนามไปกัมพูชาและไม่ได้กลับมาอีกเลยจนกระทั่งสิ้นชีวิต ปัจจุบันยังมีชาวเวียดนามที่นับถือลัทธิกาวได๋อยู่เป็นจำนวนมาก

ลัทธิฮัวเห่า (Hoa Hao) คือลัทธิที่ชายหนุ่มชาวใต้ ชื่อ หวิ่งห์ฝูโซ (Huynh Phu So) เป็นผู้ก่อตั้ง ตอนนั้นโซซึ่งมีโรคร้ายประจำตัวได้ขึ้นไปรักษาตัวอยู่ที่เจดีย์ของวัดบนเขาในแถบสันดอนแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศ เมื่อเขาหายจากโรคร้ายแล้ว หวิ่งห์ฝูโซยังคงอยู่ปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์บนเขานั้นจนกระทั่งอาจารย์มรณภากพ โซจึงลงจากเขามาสู่หมู่บ้านเดิม ระหว่างที่ลงจากเขาเกิดพายุใหญ่ทำให้โซต้องติดค้างอยู่บนเขานั้นตามลำพัง โซใช้ช่วงเวลานั้นปฏิบัติธรรมและเกิดญาณสมาบัติจนบรรลุ หลังจากนั้นเขาจึงประกาศตนเป็นเจ้าลัทธิฮัวเห่า ซึ่งแปลว่า สันติสุขและเมตตาธรรม (Peace and Kindness) ลัทธินี้มีจุดมุ่งหมายสอนคนให้รักความสันโดษและความบริสุทธิ์ มีหลักปฏิบัติธรรมด้วยการสวดมนต์ การทำสมาธิ และการถือศีล ข้อห้ามสำคัญของลัทธินี้ คือ ห้างเล่นการพนัน ห้ามดื่มสุรา และห้ามสูบฝิ่น ถึงแม้ว่าลัทธินี้จะไม่เน้นการสร้างศาสนสถานใดๆ ช่วงเวลาที่มีการเผยแพร่ลัทธินี้ในเวียดนาม ก็มีผู้ศรัทธานับถือลัทธินี้มากถึง 1,000,000 คน ลัทธิใหม่ที่เกิดจากความเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์เติบโตอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ตกเป็นเหยื่อของการเมืองที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ พัฒนาจากความเชื่อไปเป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธและการเผชิญหน้า แม้ว่าจะมีการประนีประนอมในระยะแรก แต่ไม่นานนักลัทธิความเชื่อทางศาสนาก็ต้องพ่ายแพ้ต่อลัทธิการเมือง สุดท้ายลัทธิฮัวเห่าก็ถูกกวาดล้างทำลายไปเช่นเดียวกับลัทธิกาวได๋

ภาษา
ภาษาทางการคือ ภาษาเวียดนาม ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ คือ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน

ไปรษณีย์
เปิดทำการทุกวัน เวลา 6.30 – 20.00 น. บริการไปรษณีย์เวียดนามรวดเร็วและเชื่อถือได้ มีบริการส่งโทรเลขและแฟกซ์ตลอด 24 ชั่วโมง และมีบริการส่งด่วนถึงผู้รับใน 24 ชั่วโมง

โทรศัพท์
รหัสประเทศของเวียดนาม คือ 84 เวียดนามเป็นประเทศที่กำลังมีการพัฒนาทุกด้าน ไม่เว้นแม้แต่ด้านโทรคมนาคม การโทรศัพท์ติดต่อกับต่างประเทศใช้ได้สะดวก ตามโรงแรมมีบริการต่อสายโดยโอเปอร์เรเตอร์ หรือจะโทรศัพท์ไปต่างประเทศเองได้ตามที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่ง

หมายเลขโทรศัพท์ที่ควรรู้ (เมื่อต้องการโทรศัพท์หมายเลขฉุกเฉินควรให้คนที่พูดภาษาเวียดนามได้เป็นคนพูดแทน)
ตำรวจ 113
ดับเพลิง 114
รถพยาบาล 115

โทรศัพท์มือถือ
มือถือที่นำมาจากประเทศไทยใช้ในเวียดนามได้สบาย โดยติดต่อขอใช้บริการต่างประเทศกับบริษัทเจ้าของบริการโทรศัพท์ก่อนเดินทาง

อินเทอร์เน็ต
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในเวียดนามทำได้สะดวก โดยผ่านบริการอินเทอร์เน็ตของท้องถิ่นรัฐบาลเวียดนามยังควบคุมการต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรงกับต่างประเทศ เหตุผลก็คือเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หากต้องการใช้อินเทอร์เน็ตระหว่างอยู่ในเวียดนาม ควรใช้บริการอินเทอร์เน็ตฟรีของ Hotmail หรือ Yahoo ก็สะดวก หรือไม่ก็ซื้ออินเทอร์เน็ตเป็นชั่วโมงของบริษัทในเวียดนามก็ใช้ง่ายดี ในเมืองใหญ่และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่บริการ ซึ่งการให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตในเวียดนามนั้นกำลังได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้บริการเฉลี่ยคิดนาทีละ 100 – 400 ด่อง บางแห่งผู้ใช้จะซื้อเวลาครั้งละครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง

สกุลเงิน
สกุลเงินของเวียดนามคือ ดอง อัตราแลกเปลี่ยน 420-460 ดอง ต่อ 1 บาท

เศรษฐกิจ
ประชากรเวียดนามประมาณ 75% มีอาชีพเป็นเกษตรกร สภาพดินฟ้าอากาศที่ดีเอื้ออำนวยให้เวียดนามปลูกข้าวได้ถึงปีละ 4 ครั้ง จนมีข้าวเพียงพอกับการบริโภคในประเทศแล้วยังเหลือส่งออกไปขายได้อีก ในขณะนี้เวียดนามเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่เป็นลำดับที่ 3 ของโลก รองจากอินเดียและไทย

พืชหลักของเวียดนามนอกจากข้าวแล้วยังมี ยางพารา ใบชา กาแฟ ข้าวโพด มันเทศ มันสำปะหลัง ถั่งเหลือ ถั่งลิสง มะพร้าว และพืชที่ให้เส้นใย เช่น ฝ้าย นุ่น และป่านปอเวียดนามมีรายได้จากการเกษตรประมาณ 45% ของรายได้ทั้งหมดในภาคอุตสาหกรรม เวียดนามมีอุตสาหกรรม เหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า ปูนซีเมนต์ สิ่งทอ ไม้ กระดา น้ำตาล และอาหารทะเล นอกจากนั้นยังมีการทำเหมืองแร่ ถ่านหิน เกลือ ทองคำ และน้ำมัน ปัจจุบันเวียดนามมีโรงกลั่นน้ำมันที่โฮจิมินห์ ซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองหลวงทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โฮจิมินห์ ซิตี้ มีย่านอุตสาหกรรมอยู่ที่เบียนฮวา (Bien Hoa)

การประกาศใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจโดยเมย ทำให้เศรษฐกิจของเวียดนามฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ เมื่อสหรัฐอเมริกายกเลิกการกีดกันทางการค้ากับเวียดนามในปีค.ศ. 1994 และเริ่มต้นมีสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามในปีถัดมา ทำให้ชาวต่างชาติมีความมั่นใจเข้ามาลงทุนในเวียดนามมากขึ้น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเวียดนามได้ผลดีเกินคาดและทำรายได้เข้าประเทศปีละมากๆ กับทั้งมีการส่งเสริมการผลิตภาคเอกชนในการทำเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเบา ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามเพิ่มขึ้นปีละ 7% ติดต่อกันมาหลายปี

นอกจากการเกษตรกับการอุตสาหกรรมแล้ว การประมงก็นับเป็นอาชีสำคัญอีกอย่างหนึ๋งของชาวเวียดนาม มีผู้ทำอาชีพประมงมากกว่า 300,000 คน มีการจับปลาน้ำลึกที่มีอยู่ชุกชุมและเป็นปลาราคาดีที่มีอยู่ในน่านน้ำเวียดนามมากกว่า 50 ชนิด การประมางน้ำจืดก็เป็นอาชีที่รุ่งเรืองและทำรายได้ดีไม่แพ้การประมงทางทะเล เมื่อมีการปรับปรุงเครื่องมือที่ใช้ในการจับปลา เรือประมงและห้องเย็นสำหรับเก็บปลาในเรือให้ทันสมัยเหมือนประเทศอื่นๆ แล้ว อาชีพการประมงจะเป็นอาชีพที่มีอนาคตสดใสของชาวเวียดนามต่อไป

ปัจจุบันเวียดนามเป็นสมาชิกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาระหว่างประเทศ (ธนาคารโลก) รวมทั้งบริษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) และเป็นสมาชิกอาเซียนด้วย


ระบบการปกครอง
เวียดนามปกครองแบบระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นการปกครองโดยกองกำลังของรัฐ มีการแบ่งเขตการปกครอง แบ่งออกเป็น 59 จังหวัด (provinces) และ 5 เทศบาลนคร กับ 3 เขตการปกครองพิเศษ (municipalities) คือ ฮานอย ไฮฟอง และโฮจิมินห์ ซิตี้

การเมือง
เวียดนามมีการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1975 การรวมประเทศเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้กลายเป็นประเทศ “สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” ทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่มีการปกครองแบบสังคมนิยม มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ มีหน้าที่ดูแลนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งการทหารและการรักษาความสงบของประเทศ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการร่างกฎหมายและการปกครองมีเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ทำหน้าที่ดำเนินนโยบายในประเทศที่วางโดยพรรค

คณะรัฐบาลคัดเลือกมาจากสมาชิกสภาแห่งชาติที่เสนอชื่อโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งโดยทฤษฎีแล้วสมาชิกเหล่านี้ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้ง ภายในพรรคคอมมิวนิสต์จะมีคณะกรรมการโปลิตบูโรเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายกับแนวทางของพรรค พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมีสภาคองเกรสที่ประกอบด้วยสมาชิก 1,200 คน มีการประชุมใหญ่ทุกๆ 5 ปี มีการแต่งตั้งสมาชิกเข้าเป็นคณะกรรมการกลาง ซึ่งมีสมาชิก 160 คน มีการประชุมกันปีละ 2 ครั้ง โดยคณะกรรมการกลางจะมอบอำนาจให้คณะกรรมการโปลิตบูโรซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 17 คน เป็นผู้ใช้อำนาจ ดังนั้นอำนาจส่วนใหญ่ของรัฐบาลจึงจำกัดอยู่ที่คณะกรรมการโปลิตบูโร ซึ่งล้วนเป็นผู้สูงอายุกลุ่มนี้ เพราะถึงแม้ว่าบางคนจะเกษียณอายุแล้วแต่ก็ยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอยู่

รัฐธรรมนูญที่ใช้ในประเทศเวียดนามขณะนี้คือรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1992  ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งของเวียดนามต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป

วัฒนธรรม
ในด้านศิลปะ ชาวเวียดนามมีชื่อเสียงทั้งในด้านประติมากรรมและจิตรกรรม งานประติมากรรมที่โดดเด่นคือการแกะสลักพระพุทธรูปและสัตว์ในเทพนิยาย ด้วยไม้ หิน ไข่มุก งาช้าง และอัญมณีมีค่า ด้านจิตรกรรม เวียดนามขึ้นชื่อในเรื่องภาพสีน้ำและสีน้ำมัน ในสมัยโบราณนิยมวาดภาพเกี่ยวกับศาสนาและเทพนิยาย สมัยต่อมานิยมวาดภาพธรรมชาติตามแรงบันดาลใจจากลัทธิเต๋าและการประดิษฐ์ตัวอักษรแบบจีน

เวียดนามมีการผสมผสานด้านวัฒนธรรม จากหลายชนชาติ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 432 เวียดนามได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลจากจักรพรรดิจีนนานกว่าพันปี ดังนั้น สิ่งก่อสร้าง อาหารการกิน จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับวัฒนธรรมของจีนมาก และยังมีความหลากหลายของผู้คนของชาวเขาหลากหลายชนเผ่าทางภาคเหนือของเวียดนาม และเมื่อสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง เวียดนามก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมฝรั่งเศสด้วย ได้แก่ ตึกที่อยู่อาศัยที่ดูทันสมัย เป็นตึกสีเหลืองสไตล์โคโลเนียลที่มีให้พบเห็นมากมาย ดังนั้นวัฒนธรรมต่างๆ ของเวียดนามจึงมีการผสมผสานกันเป็นอย่างมาก ทั้งด้านที่อยู่อาศัย เทศกาล อาหาร เป็นต้น

แม้ว่าชาวเวียดนามจะถูกปกครองโดยคนต่างชาติมาเป็นเวลานับร้อยปี แต่พวกเขาพยายามรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้อย่างดี ชาติที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อเวียดนามคือจีน ที่ได้ทิ้งมรดกด้านวัฒนธรรมสำคัญไว้กับชาวเวียดนามคือลัทธิขงจื๊อ ที่เน้นการนับถือบรรพบุรุษและความรับผิดชอบในหน้าที่กับศาสนาพุทธที่สอนเกี่ยวกับการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และการเกิดใหม่

ปัจจุบันมีโรงเรียนสอนศิลปะที่ฮานอยและโฮจิมินห์ ซิตี้ สอนการเขียนภาพบนผ้าแพรเป็นภาพเกี่ยวกับประเพณีโบราณ กับสอนศิลปะชั้นสูงที่ประยุกต์มาจากศิลปะสมัยใหม่ของฝรั่งเศส

งานหัตถกรรมของเวียดนามมีชื่อเสียงมาก คือ งานพิมพ์ไม้ (หมู่บ้าน Tranh Lang Ho) เครื่องเขินและเครื่องมุก เครื่องเงิน ทองเหลือและทองแดง กับงานจักสานจากหวายและไม้ไผ่

ในด้านสถาปัตยกรรม เวียดนามมีชื่อเสียงในด้านการออกแบบอาคารที่สร้างด้วยไม้ แกะสลักด้วยศิลปะแบบตะวันออก เป็นลวดลายที่ละเอียดประณีตสวยงาม นิยมตกแต่งเสาประตู มุมหลังคาและชายคาด้วยลวดลายมังกร สถาปัตยกรรมเวียดนามเน้นความกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่นิยมสร้างสิ่งก่อสร้างสูงๆ แต่สร้างให้ออกทางด้านกว้าง เหมาะกับสภาพแวดล้อม และให้ความสำคัญกับลักษณะพื้นที่ ทิศทาง และรูปแบบโครงสร้างตามหลักฮวงจุ้ยของจีนโบราณ เช่น การสร้างเมืองหลวงเว้ในสมัยราชวงศ์เหวียน พระเจ้ายาลองผู้ก่อตั้งราชวงศ์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพระราชวังโบราณที่ปักกิ่ง สุสานของพระเจ้ายาลองได้รับการยกย่องว่าเป็นสุสานที่สง่างามที่สุดและมีภูมิสถาปัตย์ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็ง มั่นคง อำนาจ และความมีวินัย

วรรณคดี
ทุกเมืองสำคัญของเวียดนามจะมีวิหารวรรณคดี (Temple of Literature) ที่สร้างถวายบูชาขงจื๊อ ศูนย์กลางของลัทธิขงจื๊อคือราชสำนักของจักรพรรดิ ผู้ทรงอุปการะวัดวรรณคดีและทรงสั่งให้จารึกชื่อของนักปราชญ์กับนักวรรณคดีผู้มีชื่อเสียงของประเทศไว้บนแผ่นหินในวัด โดยวรรณกรรมยุดแรกๆ ของเวียดนามที่แต่งไว้ภาษาจีน ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นภาษาเวียดนามและใช้สอนตามโรงเรียนทั่วประเทศ

เมื่อมีการนำอักษรโรมันมาเขียนภาษาเวียดนาม ทำให้วรรณคดีเวียดนามรุ่งเรืองมากขึ้นและแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว อิทธิพลของแนวคิดและปรัชญาใหม่ๆ จากตะวันตกทำให้งานวรรณคดีของเวียดนามมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น ไม่ยึดติดรูปแบบจากจีนต่อไป วรรณคดีที่เกิดจากลัทธิชาตินิยมที่มีเนื้อหาเน้นความรุนแรงมีการสอดแทรกโฆษณาชวนเชื่อและมีการเปลี่ยนบทละครอิงประวัติศาสตร์เพื่อปลุกใจประชาชน นักเขียน นวนิยายชื่อดังของเวียดนามในยุคนั้นคือ Nguyen Toung ผลงานของเขาที่เขียนขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังเป็นงานวรรณกรรมที่ชาวเวียดนามนิยมอ่านกันอย่างแพร่หลายมาถึงปัจจุบัน

เวียดนามมีหนังสือพิมพ์รายวันและนิตยสารที่เป็นภาษาอังกฤษหลายฉบับ หนังสือพิมพ์รายวัน Vietnam News มียอดการจำหน่ายสูงสุด นิตยสารรายสัปดาห์ Vietnam Economic Times มีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจข่าวสารด้านเศรษฐกิจของเวียดนาม หนังสือส่งเสริมการท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวเวียดนาม ชื่อ Vietnam Discovery พิมพ์แจกฟรีทุกเดือน หนังสือรายงานกิจกรรมของท้องถิ่นมี 2 ฉบับ คือ Time Out กับ The Guide เป็นหนังสือคู่มือนักท่องเที่ยว ที่มีบทบาทความเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม แนะนำร้านอาหารและภัตตาคารกับแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีในฮานอยกับโฮจิมินห์ ซิตี้

หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอื่นๆ เช่น Time, Bangkok Post และ The Herald Tribune มีจำหน่ายตามร้านหนังสือใหญ่ๆ

สถานีวิทยุและโทรทัศน์เวียดนามดำเนินการโดยรัฐบาล ทั้งวิทยุและโทรทัศน์จะเสนอข่าวภาคภาษาอังกฤษวันละ 2 ครั้ง (เวลา 14.00 น. และ 18.00 น.) ตามโรงแรมห้าดาวจะมีเคเบิลทีวีที่มีภาพยนตร์ต่างประเทศและข่าว CNN ให้ชม

ประชากร
มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 86,116,559 คน ซึ่งเกือบ 90% เป็นชาวเวียดนามซึ่งมีถิ่นอาศัยดั้งเดิมอยู่แถบ ตอนใต้ของจีนและ ทางด้านตอนเหนือประเทศเวียดนาม ชนกลุ่มน้อยในประเทศเวียดนามมี อยู่ประมาณ 10% ของประชากรทั่ว ทั้งประเทศกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือชาวจีนประมาณ 1.2 ล้านคน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศ สำหรับชน กลุ่มน้อยที่ใหญ่รองลงมาก็คือชาวเขา ซึ่งแบ่งออกเป็น 30 เผ่า ชนกลุ่มน้อยอันดับที่สาม คือชาวเขมร มีประมาณ 600,000 คน

เทศกาลเต็ด (Tet)
โดยปกติแล้ว ชาวเวียดนามจะเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ อย่างน้อย 3-7 วัน ติดต่อกัน โดยมีเทศกาลทางศาสนาที่สำคัญที่สุด คือ “เต็ดเหวียนดาน” (Tet Nguyen Dan) มีความหมายว่าเทศกาลแห่งรุ่งอรุณแรกของปี ที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า เทศกาลเต็ด เทสกาลจะเริ่มต้นขึ้น 1 สัปดาห์ก่อนจะมีวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติ คือ ระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ในวันขึ้น 15 ค่ำ ของวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในฤดูหนาว กับวันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน ในฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองในภาพรวมทั้งหมดของความเชื่อในเทพเจ้า ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ และศาสนาพุทธ รวมถึงการเคารพบรรพบุรุษ

เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง
สำหรับเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง นับตามจันทรคติตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวบ้านจัดประกวด “ขนมบันตรังทู” หรือ ขนมเปี๊ยะโก๋ญวน ทีมีรูปร่างกลม มีไส้ถั่วและไส้ผลไม้ พร้อมทั้งจัดขบวนแห่เชิดมังกร เพื่อแสดงความเคารพต่อพระจันทร์ ซึ่งในบางหมู่บ้านอาจประดับโคมไฟพร้อมทั้งจัดงานขับร้องเพลงพื้นบ้าน

เวลาทำการของขององค์กรรัฐและเอกชน
1.หน่วยงานราชการ สำนักงาน และองค์กรให้บริการสาธารณสุข 8.00 – 16.30 น. ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ - วันศุกร์ พิพิธภัณฑ์จะเปิดให้บริการวันเสาร์อีกครึ่งวัน
2.ร้านค้าเอกชนทั่วไปให้บริการระหว่าง 6.00 – 18.30 น.
3.ธนาคารพาณิชย์ ให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ – วันศุกร์ ระหว่างเวลา 8.00 – 16.00 น. (หยุดพักเวลา 12.00 – 13.00 น.)
4.สำนักงานไปรษณีย์โทรเลข ให้บริการ ตั้งแต่ 7.00 – 20.00 น.
5.โรงงานอุตสาหกรรม ทำงานวันจันทร์ – วันศุกร์ และวันเสาร์อีกครึ่งวัน โดยเวลาทำงานรวมไม่เกิน 48 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ หากเกินจากนี้ต้องจ่ายค่าล่วงเวลา สำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่ม 2 เท่า และวันหยุดนักขัตฤกษ์จ่ายเพิ่ม 3 เท่าริสต์ ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์

หมวกเวียดนาม

 

tour-hat-vietnam

เรียกว่า Non la ( น๊อน ล้า)     หมวกนี้ทำจากใบจาก ที่สามารถหาได้ทั่วไป เวลาจะทำต้องนำใบจากนั้นมาตากแดดให้แห้ง แล้วนำมารีดให้เรียบ เป็นแผ่น ๆ ซึ่งปกติแล้ว หมวกใบหนึ่งจะประกอบด้วย ใบจากประมาณ 16-18 ใบ และใช้มือเย็บอย่างปราณีต ซึ่งจะทำให้หมวกนี้ละเอียด ทนแดด ทนฝน

เมื่อสาวเวียดนามใส่หมวกใบนี้แล้ว จะมีเสน่ห์ก็ตรงที่จะเผยให้เห็นใบหน้าบางส่วนเท่านั้น ตรงนี้เองที่ทำให้มีเสน่ห์น่าค้นหา หมวกนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ให้สาวเวียดนามเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของชนชาติเวียดนามอีกด้วย

ประวัติชุดประจำชาติเวียดนาม
ชุด "อ่าว หญ่าย"

tour-clothes-vietnam tour-clothes-vietnam-2


ความประทับใจหนึ่งที่ผู้มาเยือนประเทศเวียดนามไม่เคยลืมเลย นั่นก็คือ ความสวยงามของหญิงสาวในชุด ประชาติของเวียดนาม หรือ ที่เรียกว่าชุด อ่าว หญ่าย ซึ่งแปลว่าชุดยาว

หญิงสาวชาวเวียดนามจะสวมชุด อ่าว หญ่าย สีสันต่าง ๆ เดินไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง ไปตามถนนสาธารณะ หรือ อาจจะเป็นที่สำนักงาน ซึ่งถือว่าเป็นชุดที่ดูสุภาพ และสวยงาม บางครั้ง อาจจะเห็น สาวเวียดนามสวมชุดนี้ ไปโรงเรียน ซึ่งก็ถือว่าเป็นชุดนักเรียนของพวกเธอด้วย เด็กสาวชาวเวียดนามในชั้นมัธยม ทางรัฐบาลจะให้สวมชุด อ่าวหญ่าย สีขาว หรือ สีอื่น ๆ บ้าง เป็นเครื่องแบบประจำของพวกเธอ

ส่วนคนที่ดูมีอายุหน่อยก็มักจะใส่ชุดอ่าว หญ่าย โดยเลือกที่จะใส่ชุดสีเข้ม ๆ มีเนื้อผ้าที่มีราคา เช่น ผ้าสีดำ หรือ สีน้ำเงินเข้มบ้าง ซึ่งบางบริษัทก็เลือกที่จะสวมชุดอ่าวหญ่ายนี้เป็นชุดประจำบริษัทเลยทีเดียว

ซึ่งสำเนียงนี้เป็นสำเนียงของภาคเหนือ ส่วนภาคใต้จะออกเสียงสั้น ๆ ว่า "อ่าว ซ่าย" ซึ่งส่วนมากแล้วในอดีตคนในภาคเหนือของประเทศเวียดนามจะนิยมใส่มากกว่าภาคใต้

แต่หลังจากสิ้นสุดสงครามเวียดนามในปี 1975 แล้ว ชุดนี้ก็เป็นที่นิยม สามารถพบเห็นได้แทบจะทุกภาคของประเทศ และได้รับความนิยมมาก

ชุดประจำชาติเวียดนาม หรือ ชุด Ao dai นี้ (อ่านว่า อาว หญ่าย) นอกจากจะนิยมใช้กันในเมืองใหญ่ ๆ แล้ว ตามชนบทก็เป็นที่นิยมด้วย เนื่องจากเป็นชุดที่ใส่แล้วสบาย เพราะเนื้อผ้า ค่อนข้างละเอียด

ชุดนี้นิยมแต่งที่ภาคใต้เมืองโฮจิมินห์ เวลามีงานสำคัญ ผู้หญิงนิยมใส่ชุดคล้าย ชุด กี่เผ๊าของจีน แต่ที่เวียดนามเขาเรียกว่า "อ๊าว หย่าย"(Áo dài)ซึ่งก็มีความแต่งต่างกันบ้างเล็กน้อย ที่เป็นชุดยาวผ่ายาวถึงเอวรัดช่วงเอวและแขนยาว ขนาดพอดีตัว ชุดนึงมีสองชิ้น ส่วนกระโปรงได้พัฒนาให้เหมาะกับการสวมใส่และความสะดวก จึงเป็นกางเกงกระโปรงผสมกัน ที่เห็นลวดลายดังรูปเป็นแบบประยุกต์ เพราะของเดิมไม่ได้มีลวดลายเป็นแบบพื้นๆสีขาว และถ้าจะให้ครบสูตรต้องมีหมวกงอบ(Nón lá=น๊อง ล้า)ด้วยส่วนผู้ชายทางภาคใต้ก็แต่งชุดสากลธรรมดา แต่จริงแล้วประเพณีของเขาเริ่มมาจากภาคกลางซะเป็นส่วนมาก อันเนื่องมาจากเดิมทีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่ภาคกลางบริเวณแถบเมืองเว้(Huế)เป็นที่ตั้งของวังเก่า อาหาร วัฒนธรรม ดนตรี ประเพณีเก่าแก่ได้ถือกำเนิดที่นั่น

อุปนิสัยของชาวเวียดนาม
ลักษณะเด่นของ ชาวเวียดนาม คือ เป็นกลุ่มคนที่มีความขยันขันแข็งและมีความอดทนเป็น พิเศษ แม้คนจีนก็ยังยอมรับว่าคนญวน มีความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพมากว่าตน ในเรื่องน้ำอดน้ำทนของคนญวนไม่มีชาติใดในเอเชีย ที่เหนือกว่าคนญวน การที่คนญวนสามารถทนทำสงครามต่อสู้กับสหรัฐอริเมริกาเป็นเวลานานนับ 10 ปี ทั้งๆ ที่ประเทศของตนประสบกับความเสียหายอย่างยับเยิน จากการโจมตีที่ทิ้งระเบิดของสหรัฐ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ อย่างดีถึงความอดทนของคนญวน เมื่อคนญวนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็ตั้งหน้าทำมาหากิน ประกอบกับการที่รัฐบาลไทยในระยะนั้น ได้ให้อุปการะช่วยเหลือ ทำการจัดสรรแบ่งที่ดินให้ทำกิน และให้ยืมทุนในการประกอบอาชีพรวมทั้งปล่อยให้ทำมาหากินโดยอิสระเสรี ไม่มีการกีดกั้นหรือหวงห้ามแต่อย่างใดจึงเป็นผลให้คนญวนสามารถสร้างฐานะความเป็นอยู่ ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดคนญวนก็สามารถสร้างฐานะทางเศรษฐกิจของตนให้เหนือกว่าคนไทยในชุมชน

คนญวน ประกอบอาชีพเกือบทุกประเภท นับแต่ด้านการเกษตร การช่างฝีมือต่าง ๆ เช่น ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างกลึง ช่างนาฬิกา ช่างไฟฟ้าวิทยุ ช่างเย็บเสื้อผ้า ช่างเครื่องยนต์ ต่อตัวถังรถยนต์ อาชีพค้าขายทุกชนิด การประมง การแพทย์ ถ่ายรูป การค้าขายในตลาดสด เป็นต้น ด้วยความขยันหมั่นเพียร และการมีน้ำอดน้ำทน สามารถประกอบอาชีพได้ทุกชนิดโดยไม่มีการรังเกียจ ผลจึงปรากฎว่า ชุมชนใดที่มีกลุ่มชาวญวนอยู่ อิทธิพลทางเศรษฐกิจจะตกอยู่ในมือของคนกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่

แหล่งที่มา : หนังสือคู่มือนักเดินทางฉบับพกพา เวียดนาม หน้า 17 – 19, หน้า 25 – 36, หน้า 47 – 58, หน้า 85 - 86

 

tour-instruction คำแนะนำการเดินทาง ประเทศเวียดนาม

tour-channels-transportation ช่องทางและวิธีการเดินทาง ประเทศเวียดนาม

tour-maps แผนที่ ประเทศเวียดนาม

tour-weather ภูมิอากาศ ประเทศเวียดนาม

tour-gift-shops ร้านของฝาก ประเทศเวียดนาม

tour-restaurants ร้านอาหาร ประเทศเวียดนาม

tour-entertainment สถานบันเทิง ประเทศเวียดนาม

tour-hotels-resorts โรงแรม รีสอร์ท ประเทศเวียดนาม

tour-festivals เทศกาล ประเทศเวียดนาม

tour-attractions สถานที่ท่องเที่ยว ประเทศเวียดนาม

tour-telephone-numbersเบอร์ติดต่อสถานที่สำคัญ ประเทศเวียดนาม

tour-gallery ประมวลรูปภาพ ประเทศเวียดนาม

ทัวร์แนะนำ

  1. เหมากรุ๊ป Team Building
  2. เหมากรุ๊ป CSR
  3. เหมากรุ๊ป Team Building และ CSR
  4. เหมากรุ๊ปทัวร์ในประเทศ
  5. เหมากรุ๊ปทัวร์เอเชีย

ศูนย์รับจัด Outing, Team Building, CSR, Walk Rally, สัมนานอกสถานที่, ดูงาน สำหรับในประเทศและโซนเอเชีย

นิววิวทัวร์ รับจัด Outing, Team Building, CSR, Walk Rally, สัมนานอกสถานที่, ดูงาน สำหรับบริษัทในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง

เชื่อถือได้

เราเป็นบริษัทที่ทำด้านการท่องเที่ยวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ปี มีลูกค้าต่างๆมากมาย ซึ่งเชื่อมั่นในคุณภาพของการดำเนินงานของเรา

ราคาคุ้มค่า

ทุกแพ็คเก็จทัวร์มีรายละเอียดและแผนงาน ที่ทำให้คุ้มค่ากับทุกบาทที่ลูกค้าเลือกเรา

บริการต่อเนื่อง

 เมื่อมีโปรโมชั่นใหม่ๆ หรือ ทัวร์น่าเทียว เราจะแจ้งให้ทราบตามส่วนติดต่อที่ระบุไว้ให้กับเรา 

ข้อมูลเพิ่มเติม

เราทีทีมงานที่พร้อมให้ข้อมูลกับลูกค้าทุกท่าน เพียงแค่โทรหาเรา

นิววิวทัวร์พาเที่ยว

กับผลงานการจัดทัวร์บางส่วนของความมุ่งมั่นในการให้บริการจากเราและการอุปการะคุณที่ดีของลูกค้าที่ผ่านมาโดยตลอด

คำยืนยันลูกค้า

คำยืนยัน ในคุณภาพและผลงานการจัดทัวร์จากลูกค้าบางส่วนของ นิววิวทัวร์