12 ประวัติ อื่นๆ เวียดนาม
สารบัญ
ศึกมองโกล
ในศตวรรษที่ 12 จักรพรรดิชาวมองโกลกุบไล่ข่าน (Kublai Khan) ได้แผ่ขยายอำนาจเข้าคุกคามจีนจนได้ปกครองจีน กุบไล่ข่านยกกองทัพติดตามทหารจีนที่หนีเข้ามาในเขตเวียดนาม กองทหารของกุลไล่ข่านเข้าโจมตีกองทหารเวียดนามจนยึดเมืองทังลอง เมืองหลวงของเวียดนามในขณะนั้นได้ พวกมองโกลเผาเมืองจนพินาศ แต่ในที่สุดทหารเวียดนามก็ต่อสู้ขับไล่พวกมองโกลออกไปจากอาณาจักรได้สำเร็จ
อีก 30 ปีต่อมา กุบไล่ข่าน จักรพรรดิผู้ไม่เคยแพ้ใครก็ยกทัพใหญ่มาเหยียบเวียดนามอีกครั้ง เพราะต้องการจะครอบครองดินแดนในแถบนี้ทั้งหมด กุบไล่ข่านกับพระโอรสนำกองทหารมองโกล 500,000 คน บุกเวียดนาม ตั้งใจจะเหยียบเวียดนามให้ราบเป็นหน้ากลอง
ชาวเวียดนามยังจำความโหดร้ายของทหารมองโกลได้ดี เมื่อครั้งที่เมืองทังลองถูกเผา จึงหมดกำลังใจที่จะสู้ศึกมองโกล แม่ทัพเวียดนามชื่อ นายพลตรันฮึ่งเดา (Tran Hung Dao) ได้เรียกประชุมขุนศึกเวียดนามแล้วถามว่า “จะสู้ตายหรือจะยอมแพ้” แม่ทัพนายกองกับทหารเวียดนามตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “สู้ตาย” ทหารเวียดนามทั้งกองทัพจึงพากันสักคำขวัญว่า “ฆ่ามองโกลให้หมด” ไว้ที่ต้นแขน แสดงเจตนาแน่วแน่ที่จะสู้กับมองโกลด้วยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน นายพลตรันฮึ่งเดาวางแผนการรบอย่างชาญฉลาด เพราะมีกำลังทหารน้อยกว่ามองโกลมาก จึงสั่งให้ทหารเวียดนามล่อหลอกทหารมองโกลเข้าไปในเมืองร้างหลายแห่ง มองโกลได้ใจคิดว่าได้ชัยชนะ จึงแบ่งกำลังรักษาเมืองทุกเมืองที่เวียดนามที่เวียดนามทิ้งไว้ให้ ต่อจากนั้นกองทัพเวียดนามที่แอบซุ่มคอยทีอยู่ก็ค่อยๆใช้วิธีการรบแบบกองโจรโจมตีพวกมองโกลทีละแห่งจนกระทั่งมองโกลพ่ายแพ้ แต่ในที่สุดกองทัพเวียดนามที่มีกำลังเพียงหยิบมือเดียวก็สามารถขับไล่กองทัพที่มีไพร่พลมหาศาลอย่างมองโกลออกไปจากดินแดนของตนได้
ปี ค.ศ. 1288 มองโกลยกทัพใหญ่ประกอบด้วยไพร่พล 300,000 คน และกองเรือ 500 ลำ บุกเข้ามารุกรานเวียดนามอีกครั้ง นายพลตรังฮึ่งเดาวางแผนรับศึกทางน้ำด้วยการเลียนแบบยุทธวิธีของนายพลโงเกวี่ยน ด้วยการปักขวากยักษ์ที่ทำด้วยเสาไม้ติดปลายเหล็กแหลมจำนวนมากเอาไว้ที่บริเวณปากน้ำแบ็กดังในอ่าวฮาลอง เมื่อน้ำขึ้นทหารเวียดนามล่อให้กองทัพเรือมองโกลติดตามเข้าไปปากน้ำ พอใกล้เวลาน้ำลง กองเรือของเวียดนามส่วนใหญ่ที่ซุ่มคอยทีอยู่ก็ตีตลบกองทัพเรือมองโกลจนต้องถอยร่นไปทางปากน้ำตอนที่น้ำทะเลลดระดับลงมาก กองเรือมองโกลปะทะเข้ากับขวากยักษ์ทำให้เรือแตกเสียหายยับเยินเป็นผลให้ทหารมองโกลของกุบไล่ข่านต้องพ่ายแพ้ทหารเวียดนามอีกเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเวียดนามก็ได้อยู่อย่างสงบ เพราะว่าจีนไม่ได้ส่งกองทัพมารุกรานเวียดนามอีกเลยเป็นเวลานานหลายร้อยปี
เวียดนามมีกษัตริย์ผลัดเปลี่ยนกันปกครองอาณาจักรหลายราชวงศ์ด้วยกัน ในศตวรรษที่ 15 เวียดนามได้ขยายอาณาเขตไปทางใต้จนได้อาณาจักรจามปา (Champa Empire) ซึ่งเป็นอาณาจักรฮินดูเป็นเมืองขึ้น แต่เวียดนามยังยอมให้อาณาจักรจามปามีเจ้าผู้ครองนครปกครองตนเองต่อไป ดังนั้นเวียดนามทางตอนใต้จึงรับเอาวัฒนธรรมของชาวจามและขอมเข้ามาเป็นวัฒนธรรมของตน แต่ในที่สุดอาณาจักรจามปาก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนามในศตวรรษที่ 19
ในปี ค.ศ. 1802 เมืองเว้ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงของประเทศโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียน (Nguyen Dynasty) ยุคนี้สถาปัตยกรรมในเวียดนามเจริญสูงสุด มีการก่อสร้างพระราชวังเว้ สุสานกษัตริย์ และ ศาสนสถานที่สำคัญ ในสมัยก่อนบริเวณพระราชวังเว้เป็นเขตพระราชฐาน หวงห้ามไม่ให้ประชาชนคนธรรมดาเข้าไปข้างใน ถึงแม้ว่าพระราชวังเว้จะถูกระเบิดสมัยสงครามเวียดนามทำลายจนเสียหายไปมาก แต่ก็ยังมีพระราชวังที่สวยงามบางส่วนเหลืออยู่เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของเวียดนามที่ทำเงินเข้าประเทศปีละไม่น้อย ชาวเวียดนามสมัยใหม่ไม่ให้ความสำคัญกับพระราชวังโบราณเก่าแก่แห่งนี้มากเท่ากับอนุสรณ์สถานของโฮจิมินห์ที่กรุงฮานอย ซึ่งชาวเวียดนามเคารพสูงสุด ถึงกับยกย่องให้เป็นบิดาของชาวเวียดนาม
อาณานิคมฝรั่งเศส
ในยุคล่าเมืองขึ้น พวกมิชชันนารีโปรตุเกสเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในเวียดนามก่อนชาติอื่น ต่อมาบาทหลวงชาวฝรั่งเศสจึงตามเข้ามา เวลานั้นฝรั่งเศสหมายตาดินแดนในแหลมอินโดจีนเอาไว้แล้ว ในขณะที่อังกฤษรุกเข้าไปในจีน ฝรั่งเศสก็มองเวียดนามเพื่อจะใช้เป็นทางผ่านที่จะเจาะเข้าจีนทางมณฑลยูนนาน เมื่อมีเหตุการณ์ขัดแย้งเรื่องศาสนาเกิดขึ้นในเวียดนาม และมีบาทหลวงชาวฝรั่งเศสถูกประหารชีวิต ฝรั่งเศสจึงได้ฉวยโอกาสนั้นส่งเรือรบ 2 ลำเข้ามายังเมืองท่าเรือทูเรน (Tourane) ปัจจุบันคือเมืองดานัง (Da Nang) ปี ค.ศ 1858 พระเจ้านะโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศสได้ส่งเรือรบ 14 ลำกับกองทหาร 2,500 นาย เข้าโจมตีดานังและบุกเข้ายึกไซ่ง่อน ฝรั่งเศสได้ครอบครองดินแดนบริเวณสันดอนปากแม่น้ำโขงทั้งหมดภายในเวลา 3 ปี อีก 5 ปีต่อมา ฝรั่งเศสก็ผนวกดินแดนทางใต้ของเวียดนามเป็นของฝรั่งเศส และเรียกอาณานิคมใหม่นี้ว่า “โคชิน – ไชน่า” (Cochin – China)
ฝรั่งเศสรุกคืบเข้าครองเวียดนามทีละน้อยๆจนในที่สุดก็ยึดฮานอย (Hanoi) หัวเมืองสำคัญทางตอนเหนือเป็นของฝรั่งเศสจนได้ ครั้นถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1883 กองเรือรบฝรั่งเศสก็ลอยลำเข้าไปถึงปากแม่น้ำหอมของเมืองเว้ เมืองหลวงของเวียดนามที่ตั้งอยู่ในภาคกลาง ฝรั่งเศสบังคับให้จักรพรรดิองค์ใหม่ยอมรับอิทธิพลของฝรั่งเศสในเวียดนามกลางและเวียดนามเหนือโดยเด็ดขาดและปีค.ศ. 1887 ฝรั่งเศสก็ผนึกเอาโคชิน – ไชน่าเข้ากับกัมพูชาและลาว กลายเป็นดินแดนใต้อาณานิคมของฝรั่งเศสในเอเชีย ภายใต้ชื่อใหม่ว่า “สหภาพอินโดจีน” (Union of Indochina)
เวียดนามภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสมีความเจริญในด้านวัตถุหลายประการ เช่น มีการสร้างถนนหนทางเชื่อมเมืองต่างๆ ในเวียดนาม มีการปรับปรุงด้านการเกษตรและวางรากฐานการศึกษา (ชาวเวียดนามได้ไปศึกษาเล่าเรียนในยุโรป) และการสาธารณสุข (ทำให้เวียดนามปลอดภัยจากโรคระบาดร้ายแรง เช่น อหิวาตกโรค และไข้ทรพิษ) เวียดนามสามารถส่งออกข้าวและสินค้าทางการเกษตรไปขายในตลาดโลกมากมาย แต่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่กลับตกเป็นของฝรั่งเศส ในด้านภาษีอากร ฝรั่งเศสควบคุมการเก็บภาษีทั้งหมดและกระทำกับชาวเวียดนามอย่างรีดนาทาเร้น มีชาวจีนกับชาวเวียดนามเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ค้าขายกับฝรั่งเศสจนร่ำรวย
เวียดนามเจริญขึ้น แต่ในด้านจิตใจชาวเวียดนามกลับย่ำแย่ลง เพราะการปกครองที่เอารัดเอาเปรียบของฝรั่งเศส ทำให้ชาวเวียดนามเกลียดชังฝรั่งเศสและดิ้นรนที่จะต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประเทศตลอดเวลา จึงเกิดนักสู้เพื่อเอกราชเวียดนามเป็นขบวนการต่อเนื่องนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
โฮจิมินห์กับขบวนการกู้ชาติ
จากนั้นได้มีการจัดตั้งกลุ่มชาตินิยม องค์การลับต่างๆ ประกอบด้วยขุนนาม นักวิชาการ และคนหนุ่มสาวของเวียดนาม กลุ่มชาตินิยมมีจุดประสงค์ที่จะปลดแอกเวียดนามจากการเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส การปฎิวัติในรัสเซียมีอิทธิพลต่อนักปฏิวัติหนุ่มเวียดนามคนหนึ่ง ชื่อ โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh) ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส (French Communist Party) ขึ้นในปี ค.ศ. 1920 ที่กรุงปารีส โฮจิมินห์ใช้นามแฝงว่า “เหวียนไอควอค หรือเหวียนผู้รักชาติ” (Nguyen Ai Quoc – Nguyen the Patriot) อีก 3 ปีต่อมา เขาได้เป็นตัวแทนคอมมิวนิสต์สากลเดินทางไปมอสโคว์เพื่อฝึกอบรมการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ โฮจิมินห์มีความศรัทธาในอุดมการณ์มาร์กซิสต์ – สตาลิน อย่างแรงกล้า เมื่อกลับจากรัสเซีย เขาได้รวบรวมนักปฏิวัติหนุ่มสาวชาวเวียดนามก่อตั้ง “สมาคมเยาวชนเวียดนาม (Association of Vietnamese Youth)” ขึ้นเพื่อฝึกอบรมสมาชิกและหาทางดำเนินการปลดปล่อยประเทศให้เป็นอิสระ
โฮจิมินห์เป็นลูกข้าราชการชั้นผู้น้อยในชนบท เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1890 เขาเป็นเวียดนามที่มีเลือดรักชาติรุนแรง ในวัยหนุ่ม โฮมีปัญหากับทางการฝรั่งเศส จึงออกจากเวียดนามไปอยู่ที่ปารีส ตลอดเวลาเขาดำเนินการทุกอย่างเพื่อจุดประสงค์ที่จะปลดปล่อยเวียดนามให้เป็นเอกราช โฮจิมินห์ได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัสเซีย เมื่อขบวนการปลดปล่อยเวียดนามที่รวมกันอย่างหลวมๆ เริ่มแตกแยก โฮจึงรวบรวมพลพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกันขึ้นมาตั้งขบวนการใหม่ที่ฮ่องกง โดยได้ตั้งชื่อกลุ่มเคลื่อนไหวนี้ว่า “พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน” (Indochinese Communist) โดยมีจุดประสงค์แน่วแน่ที่จะทำการปฏิวัติเพื่อปลดปล่อยเวียดนามให้เป็นอิสระจากการปกครองของฝรั่งเศส
สงครามโลกครั้งที่ 2
ปีค.ศ. 1940 กองทัพเยอรมันบุกฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสต้องวางมือจากเวียดนามชั่วคราวไปร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรทำสงครามกับเยอรมัน เป็นจังหวะดีที่โฮจิมินห์รอคอยที่จะหาทางปลดแอกจากฝรั่งเศสมานานแล้ว แต่เมื่อญี่ปุ่นเปิดฉากสงครามในเอเชีย เวียดนามก็ต้องรับกองทัพญี่ปุ่นที่ทะลักเข้ามาในประเทศ ขบวนการกู้ชาติเวียดนามต้องหลบไปซ่องสุมผู้คนอยู่ในพื้นที่แถบภูเขาและเวลานั้นเองที่โฮจิมินห์ได้ร่วมมือกับนายพลโวเหวียนยาพ (Vo Nguyen Giap) และผู้รักชาติคนอื่นๆ จัดตั้งขบวนการ “สันนิบาตเวียดนามเสรี” (League for the Independence of Vietnam) ขึ้น เป็นที่รู้จักกันในชื่อ เวียดมินห์ (Viet Minh) ขบวนการนี้ทำการรณรงค์หากำลังสนับสนุนทั้งจากในและนอกประเทศอย่างหนัก ต่อมาเวียดมินห์ได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธที่มีชื่อว่า “กองทัพปลดปล่อยเวียดนาม” (Vietnamese Liberation Army) โดยโฮจิมินห์ขอความช่วยเหลือจากจีนให้ส่งอาวุธให้ ในขณะเดียวกันโฮจิมินห์ก็เล่นบทสายลับ ทำการสอดแนมและรายงานความเคลื่อนไหวของกองทัพญี่ปุ่นในเอเชียให้สหรัฐอเมริกา โดยแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนด้านอาวุธ แต่สถานการณ์เปลี่ยนไป เมื่อญี่ปุ่นยึดครองเวียดนามทั้งประเทศและจับกุมนายทหารฝรั่งเศสทั้งหมดที่มีอยู่ในเวียดนาม
ครั้งเมื่อญี่ปุ่นออกมาประกาศยอมแพ้ เพราะสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาเป็นการปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 โฮจิมินห์ฉวยโอกาสนี้เรียกระดมพลและบุกเข้ายึกฮานอยและอีก 4 วันต่อจากนั้น ก็ทรงมอบดาบอาญาสิทธิ์ของแผ่นดิน ยกอำนาจในการปกครองประเทศให้โฮจิมินห์ ซึ่งได้ประกาศอิสรภาพให้เวียดนามเป็นอิสระจากฝรั่งเศสในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 และตั้งชื่อประเทศใหม่ว่า “สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม” (Democratic Republic of Vietnam)
ศึกเดียนเบียนฟู
การประกาศอิสรภาพของโฮจิมินห์มีผลเฉพาะในเขตแดนทางเหนือของเวียดนามเท่านั้น ฝรั่งเศสที่ยังมีอิทธิพลอยู่ทางใต้ของเวียดนามและไม่ยอมรับการประกาศอิสรภาพของโฮจิมินห์จึงเกิดสงครามระหว่างขบวนการกู้ชาติเวียดนามกับกองทัพฝรั่งเศสเป็นสงครามยืดเยื้อนานถึง 8 ปี ในที่สุดกองทัพฝรั่งเศสก็พ่ายแพ้ต่อกองทัพเวียดมินห์ในการรบที่ชายแดนลาวใกล้เมืองเดียนเบียนฟู หลังจากการสู้รบกันอย่างนองเลือดเป็นเวลานานถึง 53 วัน ฝรั่งเศสก็ยอมแพ้ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1954 กองทหารฝรั่งเศสถูกขับไล่ออกไปพ้นดินแดนเวียดนาม
แต่สงครามในอินโดจีนยังไม่สงบ เพราะกองกำลังเวียดมินห์ขยายเขตการรุกรานออกไป เพราะต้องการรวมเวียดนามให้เป็นประเทศเดียว จนเกิดการสู้รบกันเองระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ จนกระทั่งนำไปสู่การเจรจาเพื่อหาทางยุติการสู้รบในอินโดจีนที่กรุงเจนีวา ทั้งสองฝ่ายส่งผู้แทนไปเจรจากันที่กรุงเจนีวา และได้ผลการประชุมออกมาเป็น “ข้อตกลงเจนีวา” (Geneva Accords) ซึ่งมีมติให้แบ่งเวียดนามออกเป็น 2 ส่วนตรงเส้นขนานที่ 17 ดินแดนส่วนเหนือเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนามเหนือ) มีโฮจิมินห์เป็นผู้นำ และดินแดนส่วนใต้เป็น สาธารณรัฐเวียดนาม (เวียดนามใต้) มีกษัตริย์เบาได๋เป็นประมุข แต่มีนายกรัฐมนตรีโงดิงห์เหยียม (Ngo Dinh Diem) เป็นผู้นำ
รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเวียดนามเหนือเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จนหลายประเทศในโลกเสรีกลัวภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์จะแพร่ระบาด ขณะเดียวกัน เวียดนามใต้ก็มีสถานการณ์การเมืองที่ไม่มั่นคง ต่อมานายกรัฐมนตรีโงดิงห์เหยียมยึดอำนาจปกครองประเทศจากกษัตริย์เบาได๋แล้วตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดี หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในเวียดนามใต้ คณะนายทหารทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากประธานาธิบดีโงดิงห์เหยียม เป็นผลให้ประธานาธิบดีกับน้องชายถูกสังหาร
กองกำลังของเวียดนามหนือสอดแทรกรุกคืบเข้ามาในเวียดนามใต้อย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาตัดสินใจส่งทหารจำนวนมากเข้าไปช่วยเวียดนามใต้รบกับเวียดนามเหนือกลายเป็นสงครามเวียดนาม (American War) ประมาณว่าระหว่างปีค.ศ. 1970 – 1973 มีทหารอเมริกัน 500,000 คน กับทหารของสัมพันธมิตร 100,000 คน เข้าไปปฏิวัติการรบในเวียดนาม แต่ในที่สุดเวียดนามเหนือของโฮจิมินห์ก็บุกเข้าโจมตีไซ่ง่อน โดยกองกำลังเวียดกง (Viet Cong หรือ Vietnamese Community) ทหารเวียดนามเหนือบุกเข้าไซ่ง่อนและเมืองใหญ่ๆ อีก 64 เมืองพร้อมๆกันในวันเทศกาลเต๊ด (Tet) หรือวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติของเวียดนาม กองทหารเวียดกงสามารถบุกเข้าถึงสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงไซ่ง่อนได้ด้วย เหตุการณ์นี้นั้นทำให้สหรัฐฯ เสียหน้ามาก จนประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสัน ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศ
โฮจิมินห์เสียชีวิตในปีค.ศ. 1969 ก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จใจการรวมเวียดนามทั้งสองเข้าด้วยกัน ขณะที่การสู้รบระหว่างสหรัฐอเมริกากับเวียดกงยืดเยื้อ รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกโจมตี และชาวสหรัฐฯ เดินขบวนต่อต้านการทำสงครามเวียดนาม ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ตัดสินใจยุติการสู้รบและถอนทหารออกจากเวียดนาม หลังจากนั้นไม่นานกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือก็บุกเข้ายึดไซ่ง่อนเป็นผลสำเร็จในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1975 เป็นการยุติการสู้รบเพื่อปลดแอกและรวมชาติที่กระทำมาเป็นเวลานาน ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เป็นของชาวเวียดนามที่มีชัยชนะเหนือจักรวรรดินิยมถึง 2 ชาติ คือ ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา
เวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้รวมกันเป็นเวียดนามเดียวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 หลังจากนั้นเวียดนามก็ได้ใช้ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า “ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” (Socialist Republic of Vietnam)



คำยืนยันลูกค้า
คำยืนยัน ในคุณภาพและผลงานการจัดทัวร์จากลูกค้าบางส่วนของ นิววิวทัวร์
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - กรุ๊ปคุณศิริพร (โพลีพลาสติกส์ มาร์เก็ตติ้ง) กิจกรรมมาเลเซีย 3 วัน 40ท่าน Part 2
23887 Views
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - กรุ๊ปคุณพีรยุทธิ์ (สมาชิกสหกรณ์องค์การทหารผ่านศึก) กิจกรรมเขาใหญ่ 180 ท่าน Part4
23842 Views
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - กรุ๊ปคุณลักขณา (ชูเคียว) กิจกรรมกาญจนบุรี 2 วัน 40ท่าน Part 2
24566 Views