12 ประวัติ อื่นๆ เวียดนาม
สารบัญ
ระบบการปกครอง
เวียดนามปกครองแบบระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นการปกครองโดยกองกำลังของรัฐ มีการแบ่งเขตการปกครอง แบ่งออกเป็น 59 จังหวัด (provinces) และ 5 เทศบาลนคร กับ 3 เขตการปกครองพิเศษ (municipalities) คือ ฮานอย ไฮฟอง และโฮจิมินห์ ซิตี้
การเมือง
เวียดนามมีการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1975 การรวมประเทศเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้กลายเป็นประเทศ “สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” ทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่มีการปกครองแบบสังคมนิยม มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ มีหน้าที่ดูแลนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งการทหารและการรักษาความสงบของประเทศ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการร่างกฎหมายและการปกครองมีเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ทำหน้าที่ดำเนินนโยบายในประเทศที่วางโดยพรรค
คณะรัฐบาลคัดเลือกมาจากสมาชิกสภาแห่งชาติที่เสนอชื่อโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งโดยทฤษฎีแล้วสมาชิกเหล่านี้ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้ง ภายในพรรคคอมมิวนิสต์จะมีคณะกรรมการโปลิตบูโรเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายกับแนวทางของพรรค พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมีสภาคองเกรสที่ประกอบด้วยสมาชิก 1,200 คน มีการประชุมใหญ่ทุกๆ 5 ปี มีการแต่งตั้งสมาชิกเข้าเป็นคณะกรรมการกลาง ซึ่งมีสมาชิก 160 คน มีการประชุมกันปีละ 2 ครั้ง โดยคณะกรรมการกลางจะมอบอำนาจให้คณะกรรมการโปลิตบูโรซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 17 คน เป็นผู้ใช้อำนาจ ดังนั้นอำนาจส่วนใหญ่ของรัฐบาลจึงจำกัดอยู่ที่คณะกรรมการโปลิตบูโร ซึ่งล้วนเป็นผู้สูงอายุกลุ่มนี้ เพราะถึงแม้ว่าบางคนจะเกษียณอายุแล้วแต่ก็ยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอยู่
รัฐธรรมนูญที่ใช้ในประเทศเวียดนามขณะนี้คือรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1992 ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งของเวียดนามต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป
วัฒนธรรม
ในด้านศิลปะ ชาวเวียดนามมีชื่อเสียงทั้งในด้านประติมากรรมและจิตรกรรม งานประติมากรรมที่โดดเด่นคือการแกะสลักพระพุทธรูปและสัตว์ในเทพนิยาย ด้วยไม้ หิน ไข่มุก งาช้าง และอัญมณีมีค่า ด้านจิตรกรรม เวียดนามขึ้นชื่อในเรื่องภาพสีน้ำและสีน้ำมัน ในสมัยโบราณนิยมวาดภาพเกี่ยวกับศาสนาและเทพนิยาย สมัยต่อมานิยมวาดภาพธรรมชาติตามแรงบันดาลใจจากลัทธิเต๋าและการประดิษฐ์ตัวอักษรแบบจีน
เวียดนามมีการผสมผสานด้านวัฒนธรรม จากหลายชนชาติ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 432 เวียดนามได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลจากจักรพรรดิจีนนานกว่าพันปี ดังนั้น สิ่งก่อสร้าง อาหารการกิน จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับวัฒนธรรมของจีนมาก และยังมีความหลากหลายของผู้คนของชาวเขาหลากหลายชนเผ่าทางภาคเหนือของเวียดนาม และเมื่อสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง เวียดนามก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมฝรั่งเศสด้วย ได้แก่ ตึกที่อยู่อาศัยที่ดูทันสมัย เป็นตึกสีเหลืองสไตล์โคโลเนียลที่มีให้พบเห็นมากมาย ดังนั้นวัฒนธรรมต่างๆ ของเวียดนามจึงมีการผสมผสานกันเป็นอย่างมาก ทั้งด้านที่อยู่อาศัย เทศกาล อาหาร เป็นต้น
แม้ว่าชาวเวียดนามจะถูกปกครองโดยคนต่างชาติมาเป็นเวลานับร้อยปี แต่พวกเขาพยายามรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้อย่างดี ชาติที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อเวียดนามคือจีน ที่ได้ทิ้งมรดกด้านวัฒนธรรมสำคัญไว้กับชาวเวียดนามคือลัทธิขงจื๊อ ที่เน้นการนับถือบรรพบุรุษและความรับผิดชอบในหน้าที่กับศาสนาพุทธที่สอนเกี่ยวกับการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และการเกิดใหม่
ปัจจุบันมีโรงเรียนสอนศิลปะที่ฮานอยและโฮจิมินห์ ซิตี้ สอนการเขียนภาพบนผ้าแพรเป็นภาพเกี่ยวกับประเพณีโบราณ กับสอนศิลปะชั้นสูงที่ประยุกต์มาจากศิลปะสมัยใหม่ของฝรั่งเศส
งานหัตถกรรมของเวียดนามมีชื่อเสียงมาก คือ งานพิมพ์ไม้ (หมู่บ้าน Tranh Lang Ho) เครื่องเขินและเครื่องมุก เครื่องเงิน ทองเหลือและทองแดง กับงานจักสานจากหวายและไม้ไผ่
ในด้านสถาปัตยกรรม เวียดนามมีชื่อเสียงในด้านการออกแบบอาคารที่สร้างด้วยไม้ แกะสลักด้วยศิลปะแบบตะวันออก เป็นลวดลายที่ละเอียดประณีตสวยงาม นิยมตกแต่งเสาประตู มุมหลังคาและชายคาด้วยลวดลายมังกร สถาปัตยกรรมเวียดนามเน้นความกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่นิยมสร้างสิ่งก่อสร้างสูงๆ แต่สร้างให้ออกทางด้านกว้าง เหมาะกับสภาพแวดล้อม และให้ความสำคัญกับลักษณะพื้นที่ ทิศทาง และรูปแบบโครงสร้างตามหลักฮวงจุ้ยของจีนโบราณ เช่น การสร้างเมืองหลวงเว้ในสมัยราชวงศ์เหวียน พระเจ้ายาลองผู้ก่อตั้งราชวงศ์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพระราชวังโบราณที่ปักกิ่ง สุสานของพระเจ้ายาลองได้รับการยกย่องว่าเป็นสุสานที่สง่างามที่สุดและมีภูมิสถาปัตย์ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็ง มั่นคง อำนาจ และความมีวินัย
วรรณคดี
ทุกเมืองสำคัญของเวียดนามจะมีวิหารวรรณคดี (Temple of Literature) ที่สร้างถวายบูชาขงจื๊อ ศูนย์กลางของลัทธิขงจื๊อคือราชสำนักของจักรพรรดิ ผู้ทรงอุปการะวัดวรรณคดีและทรงสั่งให้จารึกชื่อของนักปราชญ์กับนักวรรณคดีผู้มีชื่อเสียงของประเทศไว้บนแผ่นหินในวัด โดยวรรณกรรมยุดแรกๆ ของเวียดนามที่แต่งไว้ภาษาจีน ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นภาษาเวียดนามและใช้สอนตามโรงเรียนทั่วประเทศ
เมื่อมีการนำอักษรโรมันมาเขียนภาษาเวียดนาม ทำให้วรรณคดีเวียดนามรุ่งเรืองมากขึ้นและแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว อิทธิพลของแนวคิดและปรัชญาใหม่ๆ จากตะวันตกทำให้งานวรรณคดีของเวียดนามมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น ไม่ยึดติดรูปแบบจากจีนต่อไป วรรณคดีที่เกิดจากลัทธิชาตินิยมที่มีเนื้อหาเน้นความรุนแรงมีการสอดแทรกโฆษณาชวนเชื่อและมีการเปลี่ยนบทละครอิงประวัติศาสตร์เพื่อปลุกใจประชาชน นักเขียน นวนิยายชื่อดังของเวียดนามในยุคนั้นคือ Nguyen Toung ผลงานของเขาที่เขียนขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังเป็นงานวรรณกรรมที่ชาวเวียดนามนิยมอ่านกันอย่างแพร่หลายมาถึงปัจจุบัน
เวียดนามมีหนังสือพิมพ์รายวันและนิตยสารที่เป็นภาษาอังกฤษหลายฉบับ หนังสือพิมพ์รายวัน Vietnam News มียอดการจำหน่ายสูงสุด นิตยสารรายสัปดาห์ Vietnam Economic Times มีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจข่าวสารด้านเศรษฐกิจของเวียดนาม หนังสือส่งเสริมการท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวเวียดนาม ชื่อ Vietnam Discovery พิมพ์แจกฟรีทุกเดือน หนังสือรายงานกิจกรรมของท้องถิ่นมี 2 ฉบับ คือ Time Out กับ The Guide เป็นหนังสือคู่มือนักท่องเที่ยว ที่มีบทบาทความเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม แนะนำร้านอาหารและภัตตาคารกับแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีในฮานอยกับโฮจิมินห์ ซิตี้
หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอื่นๆ เช่น Time, Bangkok Post และ The Herald Tribune มีจำหน่ายตามร้านหนังสือใหญ่ๆ
สถานีวิทยุและโทรทัศน์เวียดนามดำเนินการโดยรัฐบาล ทั้งวิทยุและโทรทัศน์จะเสนอข่าวภาคภาษาอังกฤษวันละ 2 ครั้ง (เวลา 14.00 น. และ 18.00 น.) ตามโรงแรมห้าดาวจะมีเคเบิลทีวีที่มีภาพยนตร์ต่างประเทศและข่าว CNN ให้ชม
ประชากร
มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 86,116,559 คน ซึ่งเกือบ 90% เป็นชาวเวียดนามซึ่งมีถิ่นอาศัยดั้งเดิมอยู่แถบ ตอนใต้ของจีนและ ทางด้านตอนเหนือประเทศเวียดนาม ชนกลุ่มน้อยในประเทศเวียดนามมี อยู่ประมาณ 10% ของประชากรทั่ว ทั้งประเทศกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือชาวจีนประมาณ 1.2 ล้านคน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศ สำหรับชน กลุ่มน้อยที่ใหญ่รองลงมาก็คือชาวเขา ซึ่งแบ่งออกเป็น 30 เผ่า ชนกลุ่มน้อยอันดับที่สาม คือชาวเขมร มีประมาณ 600,000 คน
เทศกาลเต็ด (Tet)
โดยปกติแล้ว ชาวเวียดนามจะเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ อย่างน้อย 3-7 วัน ติดต่อกัน โดยมีเทศกาลทางศาสนาที่สำคัญที่สุด คือ “เต็ดเหวียนดาน” (Tet Nguyen Dan) มีความหมายว่าเทศกาลแห่งรุ่งอรุณแรกของปี ที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า เทศกาลเต็ด เทสกาลจะเริ่มต้นขึ้น 1 สัปดาห์ก่อนจะมีวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติ คือ ระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ในวันขึ้น 15 ค่ำ ของวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในฤดูหนาว กับวันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน ในฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองในภาพรวมทั้งหมดของความเชื่อในเทพเจ้า ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ และศาสนาพุทธ รวมถึงการเคารพบรรพบุรุษ
เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง
สำหรับเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง นับตามจันทรคติตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวบ้านจัดประกวด “ขนมบันตรังทู” หรือ ขนมเปี๊ยะโก๋ญวน ทีมีรูปร่างกลม มีไส้ถั่วและไส้ผลไม้ พร้อมทั้งจัดขบวนแห่เชิดมังกร เพื่อแสดงความเคารพต่อพระจันทร์ ซึ่งในบางหมู่บ้านอาจประดับโคมไฟพร้อมทั้งจัดงานขับร้องเพลงพื้นบ้าน
เวลาทำการของขององค์กรรัฐและเอกชน
1.หน่วยงานราชการ สำนักงาน และองค์กรให้บริการสาธารณสุข 8.00 – 16.30 น. ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ - วันศุกร์ พิพิธภัณฑ์จะเปิดให้บริการวันเสาร์อีกครึ่งวัน
2.ร้านค้าเอกชนทั่วไปให้บริการระหว่าง 6.00 – 18.30 น.
3.ธนาคารพาณิชย์ ให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ – วันศุกร์ ระหว่างเวลา 8.00 – 16.00 น. (หยุดพักเวลา 12.00 – 13.00 น.)
4.สำนักงานไปรษณีย์โทรเลข ให้บริการ ตั้งแต่ 7.00 – 20.00 น.
5.โรงงานอุตสาหกรรม ทำงานวันจันทร์ – วันศุกร์ และวันเสาร์อีกครึ่งวัน โดยเวลาทำงานรวมไม่เกิน 48 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ หากเกินจากนี้ต้องจ่ายค่าล่วงเวลา สำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่ม 2 เท่า และวันหยุดนักขัตฤกษ์จ่ายเพิ่ม 3 เท่าริสต์ ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์
หมวกเวียดนาม
เรียกว่า Non la ( น๊อน ล้า) หมวกนี้ทำจากใบจาก ที่สามารถหาได้ทั่วไป เวลาจะทำต้องนำใบจากนั้นมาตากแดดให้แห้ง แล้วนำมารีดให้เรียบ เป็นแผ่น ๆ ซึ่งปกติแล้ว หมวกใบหนึ่งจะประกอบด้วย ใบจากประมาณ 16-18 ใบ และใช้มือเย็บอย่างปราณีต ซึ่งจะทำให้หมวกนี้ละเอียด ทนแดด ทนฝน
เมื่อสาวเวียดนามใส่หมวกใบนี้แล้ว จะมีเสน่ห์ก็ตรงที่จะเผยให้เห็นใบหน้าบางส่วนเท่านั้น ตรงนี้เองที่ทำให้มีเสน่ห์น่าค้นหา หมวกนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ให้สาวเวียดนามเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของชนชาติเวียดนามอีกด้วย
ประวัติชุดประจำชาติเวียดนาม
ชุด "อ่าว หญ่าย"
ความประทับใจหนึ่งที่ผู้มาเยือนประเทศเวียดนามไม่เคยลืมเลย นั่นก็คือ ความสวยงามของหญิงสาวในชุด ประชาติของเวียดนาม หรือ ที่เรียกว่าชุด อ่าว หญ่าย ซึ่งแปลว่าชุดยาว
หญิงสาวชาวเวียดนามจะสวมชุด อ่าว หญ่าย สีสันต่าง ๆ เดินไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง ไปตามถนนสาธารณะ หรือ อาจจะเป็นที่สำนักงาน ซึ่งถือว่าเป็นชุดที่ดูสุภาพ และสวยงาม บางครั้ง อาจจะเห็น สาวเวียดนามสวมชุดนี้ ไปโรงเรียน ซึ่งก็ถือว่าเป็นชุดนักเรียนของพวกเธอด้วย เด็กสาวชาวเวียดนามในชั้นมัธยม ทางรัฐบาลจะให้สวมชุด อ่าวหญ่าย สีขาว หรือ สีอื่น ๆ บ้าง เป็นเครื่องแบบประจำของพวกเธอ
ส่วนคนที่ดูมีอายุหน่อยก็มักจะใส่ชุดอ่าว หญ่าย โดยเลือกที่จะใส่ชุดสีเข้ม ๆ มีเนื้อผ้าที่มีราคา เช่น ผ้าสีดำ หรือ สีน้ำเงินเข้มบ้าง ซึ่งบางบริษัทก็เลือกที่จะสวมชุดอ่าวหญ่ายนี้เป็นชุดประจำบริษัทเลยทีเดียว
ซึ่งสำเนียงนี้เป็นสำเนียงของภาคเหนือ ส่วนภาคใต้จะออกเสียงสั้น ๆ ว่า "อ่าว ซ่าย" ซึ่งส่วนมากแล้วในอดีตคนในภาคเหนือของประเทศเวียดนามจะนิยมใส่มากกว่าภาคใต้
แต่หลังจากสิ้นสุดสงครามเวียดนามในปี 1975 แล้ว ชุดนี้ก็เป็นที่นิยม สามารถพบเห็นได้แทบจะทุกภาคของประเทศ และได้รับความนิยมมาก
ชุดประจำชาติเวียดนาม หรือ ชุด Ao dai นี้ (อ่านว่า อาว หญ่าย) นอกจากจะนิยมใช้กันในเมืองใหญ่ ๆ แล้ว ตามชนบทก็เป็นที่นิยมด้วย เนื่องจากเป็นชุดที่ใส่แล้วสบาย เพราะเนื้อผ้า ค่อนข้างละเอียด
ชุดนี้นิยมแต่งที่ภาคใต้เมืองโฮจิมินห์ เวลามีงานสำคัญ ผู้หญิงนิยมใส่ชุดคล้าย ชุด กี่เผ๊าของจีน แต่ที่เวียดนามเขาเรียกว่า "อ๊าว หย่าย"(Áo dài)ซึ่งก็มีความแต่งต่างกันบ้างเล็กน้อย ที่เป็นชุดยาวผ่ายาวถึงเอวรัดช่วงเอวและแขนยาว ขนาดพอดีตัว ชุดนึงมีสองชิ้น ส่วนกระโปรงได้พัฒนาให้เหมาะกับการสวมใส่และความสะดวก จึงเป็นกางเกงกระโปรงผสมกัน ที่เห็นลวดลายดังรูปเป็นแบบประยุกต์ เพราะของเดิมไม่ได้มีลวดลายเป็นแบบพื้นๆสีขาว และถ้าจะให้ครบสูตรต้องมีหมวกงอบ(Nón lá=น๊อง ล้า)ด้วยส่วนผู้ชายทางภาคใต้ก็แต่งชุดสากลธรรมดา แต่จริงแล้วประเพณีของเขาเริ่มมาจากภาคกลางซะเป็นส่วนมาก อันเนื่องมาจากเดิมทีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่ภาคกลางบริเวณแถบเมืองเว้(Huế)เป็นที่ตั้งของวังเก่า อาหาร วัฒนธรรม ดนตรี ประเพณีเก่าแก่ได้ถือกำเนิดที่นั่น
อุปนิสัยของชาวเวียดนาม
ลักษณะเด่นของ ชาวเวียดนาม คือ เป็นกลุ่มคนที่มีความขยันขันแข็งและมีความอดทนเป็น พิเศษ แม้คนจีนก็ยังยอมรับว่าคนญวน มีความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพมากว่าตน ในเรื่องน้ำอดน้ำทนของคนญวนไม่มีชาติใดในเอเชีย ที่เหนือกว่าคนญวน การที่คนญวนสามารถทนทำสงครามต่อสู้กับสหรัฐอริเมริกาเป็นเวลานานนับ 10 ปี ทั้งๆ ที่ประเทศของตนประสบกับความเสียหายอย่างยับเยิน จากการโจมตีที่ทิ้งระเบิดของสหรัฐ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ อย่างดีถึงความอดทนของคนญวน เมื่อคนญวนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็ตั้งหน้าทำมาหากิน ประกอบกับการที่รัฐบาลไทยในระยะนั้น ได้ให้อุปการะช่วยเหลือ ทำการจัดสรรแบ่งที่ดินให้ทำกิน และให้ยืมทุนในการประกอบอาชีพรวมทั้งปล่อยให้ทำมาหากินโดยอิสระเสรี ไม่มีการกีดกั้นหรือหวงห้ามแต่อย่างใดจึงเป็นผลให้คนญวนสามารถสร้างฐานะความเป็นอยู่ ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดคนญวนก็สามารถสร้างฐานะทางเศรษฐกิจของตนให้เหนือกว่าคนไทยในชุมชน
คนญวน ประกอบอาชีพเกือบทุกประเภท นับแต่ด้านการเกษตร การช่างฝีมือต่าง ๆ เช่น ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างกลึง ช่างนาฬิกา ช่างไฟฟ้าวิทยุ ช่างเย็บเสื้อผ้า ช่างเครื่องยนต์ ต่อตัวถังรถยนต์ อาชีพค้าขายทุกชนิด การประมง การแพทย์ ถ่ายรูป การค้าขายในตลาดสด เป็นต้น ด้วยความขยันหมั่นเพียร และการมีน้ำอดน้ำทน สามารถประกอบอาชีพได้ทุกชนิดโดยไม่มีการรังเกียจ ผลจึงปรากฎว่า ชุมชนใดที่มีกลุ่มชาวญวนอยู่ อิทธิพลทางเศรษฐกิจจะตกอยู่ในมือของคนกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่
แหล่งที่มา : หนังสือคู่มือนักเดินทางฉบับพกพา เวียดนาม หน้า 17 – 19, หน้า 25 – 36, หน้า 47 – 58, หน้า 85 - 86



คำยืนยันลูกค้า
คำยืนยัน ในคุณภาพและผลงานการจัดทัวร์จากลูกค้าบางส่วนของ นิววิวทัวร์
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - CSR ภูเก็ต (มิตซุย เคมิคอล) 23 ท่าน Part 3
14876 Views
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - ทีมบิ้วดิ้ง เกาะช้าง (บัญชีกิจ) 80 ท่าน
15114 Views
คำยืนยันแด่นิววิวทัวร์ - CSR ปลูกป่าชายเลน (ซิลลิค ฟาร์มา) 65 ท่าน Part 2
15273 Views